Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

โรคยูเรียพลาสมา คืออะไร? เชื้อเงียบทำร้ายภายใน เสี่ยงมีบุตรยาก! เช็กสาเหตุ + วิธีป้องกันโรคยูเรียพลาสมา

โรคยูเรียพลาสมา เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่หลายคนอาจไม่คุ้นชื่อ แต่จากข้อมูลทางการแพทย์พบว่า 7 ใน 10 คนที่มีเชื้อนี้อาจไม่รู้ตัวว่าติดเชื้ออยู่ เพราะเป็นเชื้อที่ ไม่มีอาการชัดเจนในช่วงแรก หรือไม่มีอาการเลยในบางราย อย่างไรก็ตาม หากปล่อยให้เชื้อสะสม หรือเกิดการติดเชื้อเรื้อรัง → อาจนำไปสู่ อาการผิดปกติทางระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ หรือแม้กระทั่ง ภาวะมีบุตรยาก ในทั้งผู้หญิงและผู้ชายได้

Ureaplasma สามารถ แพร่เชื้อผ่านทางเพศสัมพันธ์ หรือในบางกรณี ถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกขณะคลอด ได้เช่นกัน การรู้จัก วิธีตรวจ การรักษา และการป้องกันที่ถูกต้อง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยง และดูแลสุขภาพในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จัก Ureaplasma แบบครบทุกมุมมอง ตั้งแต่ การติดเชื้อเกิดขึ้นได้อย่างไร อาการเป็นแบบไหน มีผลต่อภาวะมีบุตรยากจริงหรือไม่ ต้องตรวจหรือไม่ รักษาอย่างไร และจะดูแลตัวเองอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้ติดเชื้อซ้ำ

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

โรคยูเรียพลาสมา คืออะไร?

Ureaplasma เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่พบได้ในระบบทางเดินปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์ของมนุษย์ โดยเป็นเชื้อที่จัดอยู่ในกลุ่ม Mycoplasma ซึ่งมีลักษณะพิเศษคือ ไม่มีผนังเซลล์ (cell wall) จึงทำให้แตกต่างจากแบคทีเรียทั่วไป และมีความทนทานต่อยาปฏิชีวนะบางชนิด

ตามปกติแล้ว Ureaplasma สามารถอยู่ในร่างกายโดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพใด ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง อย่างไรก็ตาม หากเชื้อมีปริมาณมากเกินไปหรือเกิดการติดเชื้อขึ้นจริง อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินปัสสาวะ ระบบสืบพันธุ์ และในบางกรณียังอาจส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์ได้ด้วย

ชนิดของ โรคยูเรียพลาสมา ที่พบบ่อย

ในทางการแพทย์ Ureaplasma ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์มีอยู่ 2 ชนิดหลัก ได้แก่

  • Ureaplasma urealyticum
  • Ureaplasma parvum

ทั้งสองชนิดนี้สามารถพบได้ในบุคคลที่สุขภาพปกติ รวมถึงในคู่สมรสหรือคู่รัก โดยอาจไม่แสดงอาการใด ๆ แต่หากเกิดการติดเชื้อ เชื้อเหล่านี้สามารถเป็นสาเหตุของโรคหรือภาวะแทรกซ้อนในระบบสืบพันธุ์ได้

โรคยูเรียพลาสมา แตกต่างจากเชื้อแบคทีเรียทั่วไปอย่างไร?

เนื่องจาก Ureaplasma ไม่มีผนังเซลล์ จึงมีความแตกต่างจากแบคทีเรียชนิดอื่น ๆ เช่น

  • มีขนาดเล็กมาก
  • ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ธรรมดา
  • ทนต่อยาปฏิชีวนะบางกลุ่มที่ออกฤทธิ์กับผนังเซลล์ เช่น penicillin

ลักษณะเหล่านี้ทำให้การตรวจหาเชื้อและการรักษาต้องใช้วิธีเฉพาะทาง

โรคยูเรียพลาสมา ติดเชื้อได้อย่างไร?

เชื้อ Ureaplasma เป็นเชื้อที่สามารถถ่ายทอดจากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่งได้ โดยมีช่องทางการติดเชื้อหลัก ๆ ดังนี้:

1. การมีเพศสัมพันธ์

การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย เป็นช่องทางหลักที่ทำให้เชื้อ Ureaplasma แพร่กระจาย ทั้งในรูปแบบ

  • เพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิง
  • ชายกับชาย
  • หญิงกับหญิง

เชื้อสามารถแพร่ได้ผ่าน:

  • สารคัดหลั่งทางเพศ
  • การสัมผัสเยื่อบุอวัยวะเพศที่มีเชื้ออยู่

2. การแพร่จากแม่สู่ลูก

หญิงตั้งครรภ์ที่มีเชื้อ Ureaplasma อาจถ่ายทอดเชื้อไปสู่ทารกได้ระหว่างการคลอดทางช่องคลอด ทารกที่ได้รับเชื้อ อาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ โดยเฉพาะในทารกคลอดก่อนกำหนด

3. การติดเชื้อจากการปนเปื้อน (พบได้น้อย)

ในบางกรณี (พบได้น้อย) การติดเชื้อ Ureaplasma อาจเกิดจากการปนเปื้อนของเครื่องมือแพทย์ที่ไม่สะอาด หรือกระบวนการตรวจ/รักษาทางการแพทย์ที่ไม่ได้มาตรฐาน

Ureaplasma เป็น “เชื้อแฝง”

หนึ่งในความน่ากังวลของ Ureaplasma คือ เชื้อนี้สามารถอยู่ในร่างกายได้โดยไม่แสดงอาการ

  • ผู้ที่มีเชื้ออยู่แล้วอาจไม่ทราบว่าตนเองเป็นพาหะ
  • คู่ของผู้ติดเชื้อจึงมีโอกาสรับเชื้อโดยไม่รู้ตัว
  • การมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ป้องกันจึงเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อซ้ำหรือแพร่กระจายเชื้อนี้

อาการของโรคติดเชื้อยูเรียพลาสมา

Ureaplasma เป็นเชื้อที่มีลักษณะพิเศษคือ ผู้ติดเชื้อจำนวนมากจะไม่มีอาการ โดยเฉพาะในระยะเริ่มแรก หรือเมื่อปริมาณเชื้อในร่างกายยังไม่สูง จากข้อมูลทางการแพทย์ พบว่า ประมาณ 70% ของผู้ที่มีเชื้อ ไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อ (asymptomatic carrier)

อย่างไรก็ตาม หากเกิดการติดเชื้อจริง หรือเชื้อเพิ่มจำนวนมากขึ้น จนก่อให้เกิด การอักเสบในระบบทางเดินปัสสาวะหรือระบบสืบพันธุ์ อาจพบอาการดังต่อไปนี้:

อาการในผู้หญิง

  • ตกขาวผิดปกติ มีลักษณะเปลี่ยนไป เช่น มีสีเหลือง เขียว หรือมีกลิ่นผิดปกติ
  • คันหรือแสบในช่องคลอด
  • ปัสสาวะแสบขัด หรือปัสสาวะบ่อย
  • ปวดท้องน้อย โดยเฉพาะเวลามีเพศสัมพันธ์หรือขณะปัสสาวะ
  • เลือดออกผิดปกติระหว่างรอบเดือน หรือหลังมีเพศสัมพันธ์

อาการในผู้ชาย

  • ปัสสาวะแสบขัด หรือรู้สึกเจ็บขณะปัสสาวะ
  • มีมูกหรือสารคัดหลั่งจากปลายอวัยวะเพศ
  • ปวดหรือเจ็บที่บริเวณอัณฑะ หรือปวดหน่วงที่ถุงอัณฑะ
  • อาการอักเสบของท่อปัสสาวะ (Urethritis)

อาการในหญิงตั้งครรภ์ (ถ้ามีการติดเชื้อ)

  • มีอาการตกขาวผิดปกติ
  • อาจมีอาการปวดท้องน้อยร่วมด้วย
  • ในบางราย เชื้ออาจเพิ่มความเสี่ยงต่อ การแท้งบุตร หรือ การคลอดก่อนกำหนด (ขึ้นกับระดับความรุนแรงของการติดเชื้อ)

หมายเหตุ

  • ผู้ที่มีเชื้อ Ureaplasma อาจไม่มีอาการเลย (asymptomatic) → แต่ยังคงสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้
  • หากมีอาการผิดปกติข้างต้น ควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์เฉพาะทาง

โรคติดเชื้อยูเรียพลาสมาอันตรายแค่ไหน?

แม้ว่าเชื้อ Ureaplasma จะจัดเป็นเชื้อที่พบได้ทั่วไปในระบบสืบพันธุ์ของมนุษย์ และผู้ติดเชื้อจำนวนมากอาจ ไม่มีอาการ หรือไม่ทราบว่าตนเองมีเชื้อ
แต่ในบางกรณี หากเกิดการติดเชื้อจริง หรือปล่อยให้เชื้อเพิ่มจำนวนมากขึ้นโดยไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม เชื้อนี้สามารถก่อให้เกิด ภาวะแทรกซ้อนหรือปัญหาสุขภาพที่รุนแรงได้

1. ผลต่อระบบทางเดินปัสสาวะ

  • กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis)
  • ท่อปัสสาวะอักเสบ (Urethritis) → พบบ่อยในผู้ชาย
  • ปัสสาวะขัดหรือแสบขัดเรื้อรัง

2. ผลต่อระบบสืบพันธุ์ในผู้หญิง

  • ปากมดลูกอักเสบ (Cervicitis)
  • เยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ (Endometritis)
  • อุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease, PID) → เป็นภาวะที่ร้ายแรง อาจทำให้เกิด พังผืดในท่อนำไข่ ส่งผลต่อการมีบุตร

3. ผลต่อระบบสืบพันธุ์ในผู้ชาย

  • อัณฑะอักเสบ (Orchitis)
  • ต่อมลูกหมากอักเสบ (Prostatitis)
  • อาจส่งผลต่อ คุณภาพของอสุจิ เช่น การเคลื่อนไหวหรือโครงสร้างของอสุจิ

4. ผลต่อหญิงตั้งครรภ์และทารก

  • เพิ่มความเสี่ยงต่อ การแท้งบุตร
  • เพิ่มความเสี่ยงต่อ การคลอดก่อนกำหนด
  • ทารกอาจติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ หรือมี น้ำหนักตัวแรกเกิดต่ำ

5. การติดเชื้อเรื้อรัง

  • หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง Ureaplasma อาจก่อให้เกิด การติดเชื้อเรื้อรัง ที่รักษายาก และมีโอกาสแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่น
  • การติดเชื้อซ้ำ ๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อ ภาวะมีบุตรยาก ได้

สรุป

แม้ Ureaplasma จะไม่ใช่เชื้อที่ก่อโรครุนแรงในทุกคน แต่ในบางกลุ่ม เช่น

  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
  • หญิงตั้งครรภ์
  • ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ
  • ผู้ที่มีประวัติติดเชื้อซ้ำบ่อย ๆ

→ การปล่อยให้เชื้อสะสมในร่างกายโดยไม่รับการดูแล อาจนำไปสู่ ภาวะแทรกซ้อนที่กระทบต่อคุณภาพชีวิต ได้อย่างมีนัยสำคัญ

โรคยูเรียพลาสมา ส่งผลต่อภาวะมีบุตรยากอย่างไร?

เชื้อ Ureaplasma แม้จะเป็นเชื้อที่พบได้ทั่วไปในระบบสืบพันธุ์ของมนุษย์ แต่หากเกิดการติดเชื้อเรื้อรังหรือมีการอักเสบที่ไม่แสดงอาการ → อาจส่งผลกระทบต่อ ภาวะมีบุตรยาก ได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งใน ผู้หญิงและผู้ชาย

กลไกที่ Ureaplasma ส่งผลต่อภาวะมีบุตรยาก

1 กระตุ้นการอักเสบเรื้อรัง เมื่อ Ureaplasma ติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์ → ร่างกายจะตอบสนองด้วยการอักเสบ

  • ในผู้หญิง: อาจเกิด อุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease, PID) → ทำให้เกิด พังผืดในท่อนำไข่
  • ในผู้ชาย: อาจเกิด ต่อมลูกหมากอักเสบ / อัณฑะอักเสบ → ส่งผลต่อคุณภาพของอสุจิ

2 ความเสียหายต่อเยื่อบุผิวท่อนำไข่ การอักเสบเรื้อรังอาจทำให้ เยื่อบุท่อนำไข่ถูกทำลายหรือเกิดพังผืด → ทำให้ไข่ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ตามปกติ → ลดโอกาสปฏิสนธิ

3 ส่งผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อน หากมีเชื้อ Ureaplasma ในโพรงมดลูก → อาจรบกวนกระบวนการฝังตัวของตัวอ่อน → เพิ่มโอกาส การฝังตัวล้มเหลว หรือเกิดภาวะแท้งในระยะเริ่มต้น

4 ลดคุณภาพอสุจิ ในผู้ชาย เชื้อ Ureaplasma อาจส่งผลต่อ

  • การเคลื่อนไหวของอสุจิ (Motility) → เคลื่อนที่ช้าลง
  • รูปร่างของอสุจิ (Morphology) → ผิดปกติ
  • จำนวนอสุจิ (Count) → ลดลง → ส่งผลให้โอกาสในการปฏิสนธิลดลง

เพิ่มโอกาสเกิดการติดเชื้อซ้ำ → ภาวะเรื้อรัง การติดเชื้อ Ureaplasma ซ้ำ ๆ → เพิ่มโอกาสเกิดภาวะเรื้อรังในระบบสืบพันธุ์ → เมื่อมีการอักเสบเรื้อรังต่อเนื่อง → โอกาสมีบุตรตามธรรมชาติจะลดลงเรื่อย ๆ

ข้อควรรู้

  • Ureaplasma เป็นหนึ่งในเชื้อที่แนะนำให้ ตรวจคัดกรอง ในกระบวนการประเมินผู้มีบุตรยาก (Fertility Workup)
  • โดยเฉพาะในกรณี
    • คู่สมรสที่มีบุตรยากไม่ทราบสาเหตุ (Unexplained Infertility)
    • ผู้ที่มีประวัติแท้งซ้ำ
    • ผู้ที่มีประวัติ PID หรืออาการอักเสบเรื้อรังในระบบสืบพันธุ์

โรคยูเรียพลาสมา ในหญิงตั้งครรภ์มีผลอย่างไร?

Ureaplasma เป็นเชื้อที่สามารถพบได้ใน ช่องคลอดและปากมดลูก ของหญิงตั้งครรภ์บางราย โดยในหลายกรณีอาจ ไม่มีอาการ และไม่ก่อให้เกิดปัญหา แต่หากเชื้อมีปริมาณสูง หรือมีการอักเสบร่วมด้วย → อาจเพิ่ม ความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ และผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้

1 เพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร

  • มีรายงานทางการแพทย์ว่า การติดเชื้อ Ureaplasma ในโพรงมดลูก หรือ ปากมดลูก อาจกระตุ้น การอักเสบเฉพาะที่ → ส่งผลต่อ กระบวนการฝังตัวของตัวอ่อน และการพัฒนาของรก
  • ในบางรายอาจเพิ่มโอกาสเกิด การแท้งในระยะแรก หรือ แท้งในไตรมาสที่สอง

2 เพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด

  • การติดเชื้อใน โพรงมดลูก หรือ เยื่อหุ้มถุงน้ำคร่ำ → อาจทำให้เกิด ภาวะถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด (PPROM) หรือกระตุ้น การบีบตัวของมดลูกก่อนกำหนด
  • มีงานวิจัยชี้ว่า Ureaplasma เป็นหนึ่งในเชื้อที่สัมพันธ์กับ Preterm Birth (คลอดก่อนกำหนด) ได้อย่างมีนัยสำคัญ

3 ผลกระทบต่อทารกแรกเกิด

  • ทารกที่คลอดก่อนกำหนดและสัมผัสเชื้อระหว่างการคลอด → มีความเสี่ยงต่อ:

    • ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ (Neonatal pneumonia)
    • ภาวะปอดพัฒนาไม่สมบูรณ์ (Bronchopulmonary Dysplasia, BPD)
    • น้ำหนักตัวแรกเกิดต่ำ (Low birth weight)
    • การติดเชื้อในกระแสเลือด (Neonatal sepsis)

4 การแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูก

  • เชื้อ Ureaplasma สามารถแพร่ไปสู่ทารกได้ ระหว่างการคลอดทางช่องคลอด
  • โดยเฉพาะในทารกที่คลอดก่อนกำหนด → ระบบภูมิคุ้มกันยังไม่สมบูรณ์ → มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนสูงกว่าทารกครบกำหนด

ข้อควรระวัง

  • ไม่ใช่หญิงตั้งครรภ์ทุกคนที่มีเชื้อ Ureaplasma จะเกิดภาวะแทรกซ้อนเสมอไป
  • การประเมินความเสี่ยง → ขึ้นกับ ระดับของเชื้อ + ปัจจัยร่วมอื่น ๆ (เช่น ประวัติคลอดก่อนกำหนด, การอักเสบของปากมดลูก)
  • หากแพทย์วินิจฉัยพบเชื้อและประเมินว่ามีความเสี่ยงสูง → ควรมีการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิดระหว่างตั้งครรภ์

โรคยูเรียพลาสมา ผู้ชายติดได้ไหม? มีอาการยังไง?

ผู้ชายสามารถติดเชื้อ Ureaplasma ได้

  • โดยการติดเชื้อมักเกิดจาก การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน กับคู่ที่มีเชื้อ
  • หรือในบางรายอาจติดเชื้อมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้น โดยเชื้ออยู่ในร่างกายแบบ เชื้อแฝง (asymptomatic carrier)

Ureaplasma ในผู้ชาย → ติดได้บ่อยไหม?

  • งานวิจัยพบว่าในกลุ่ม ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับหญิงที่มีเชื้อ → มีโอกาสติดเชื้อ สูงถึง 50-60%
  • ผู้ชายที่ติดเชื้อ → ประมาณ 40-70% ไม่มีอาการ (asymptomatic carrier)
  • แต่ในกรณีที่เกิดการติดเชื้อจริง → จะมี อาการทางระบบทางเดินปัสสาวะ และระบบสืบพันธุ์ ตามมา

อาการของ Ureaplasma ในผู้ชาย

หากมีอาการ → มักพบอาการต่อไปนี้:

  • ปัสสาวะแสบขัด หรือรู้สึกระคายเคืองขณะปัสสาวะ
  • มีมูกหรือสารคัดหลั่งผิดปกติ จากปลายอวัยวะเพศ (มักเป็นมูกใส หรือขาวขุ่น)
  • ปวดหรือรู้สึกหน่วงที่บริเวณอัณฑะ หรือถุงอัณฑะ
  • อาการอักเสบของท่อปัสสาวะ (Urethritis) → อาการเด่นในผู้ชายที่ติดเชื้อ
  • ปวดหรืออึดอัดบริเวณอุ้งเชิงกราน → โดยเฉพาะในกรณีที่มีการติดเชื้อแพร่กระจาย
  • ในบางรายอาจเกิด ต่อมลูกหมากอักเสบ (Prostatitis) → ทำให้ปัสสาวะลำบากหรือปัสสาวะบ่อย

เชื้อ Ureaplasma ในผู้ชายอันตรายไหม?

  • หากปล่อยให้เชื้อสะสม → อาจทำให้เกิด การอักเสบเรื้อรัง ในระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์
  • อาจส่งผลต่อ คุณภาพของอสุจิ → เช่น การเคลื่อนไหวและรูปร่างของอสุจิ → มีผลต่อภาวะมีบุตรยากในเพศชายได้
  • การติดเชื้อซ้ำ ๆ → เพิ่มโอกาสเกิด ภาวะอักเสบเรื้อรัง ซึ่งรักษายากขึ้นในอนาคต

หมายเหตุ

  • ผู้ชายที่ไม่มีอาการ → ยังสามารถ แพร่เชื้อให้คู่ของตนได้
  • ดังนั้นหากทราบว่าคู่มีเชื้อ หรือมีอาการผิดปกติ → ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจและรักษาร่วมกัน

วิธีการตรวจหาเชื้อ Ureaplasma

แม้ว่า Ureaplasma จะเป็นเชื้อที่พบได้ในคนทั่วไป แต่หากมีข้อสงสัยว่าติดเชื้อ หรือมีอาการผิดปกติ → การตรวจวินิจฉัยอย่างถูกต้องจึงเป็นขั้นตอนสำคัญ การตรวจ Ureaplasma ต้องใช้วิธีเฉพาะทาง → เนื่องจากเชื้อนี้มีลักษณะพิเศษคือ ไม่มีผนังเซลล์ ทำให้ไม่สามารถตรวจด้วยวิธีปกติ เช่นการย้อมสีแกรม (Gram stain) ได้

ตัวอย่างที่ใช้ในการตรวจ

  • ตัวอย่างปัสสาวะส่วนต้น (First void urine)
  • สารคัดหลั่งจากปากมดลูก หรือ ท่อปัสสาวะ
  • สารคัดหลั่งในช่องคลอด ในหญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูง → อาจตรวจจาก ตัวอย่างจากเยื่อหุ้มถุงน้ำคร่ำ หรือ น้ำคร่ำ (เฉพาะกรณีที่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์)

วิธีการตรวจที่ใช้

1 การเพาะเชื้อ (Culture)

  • เป็นวิธีดั้งเดิม → ใช้ การเพาะเชื้อในอาหารเลี้ยงเชื้อเฉพาะ สำหรับ Ureaplasma
  • ข้อดี: ยืนยันการมีเชื้อที่มีชีวิต
  • ข้อเสีย: ใช้เวลานาน (หลายวัน), ความไวต่ำกว่า PCR

2 การตรวจ DNA ด้วย PCR (Polymerase Chain Reaction)

  • เป็น วิธีมาตรฐานในปัจจุบัน
  • ตรวจหา DNA ของเชื้อ Ureaplasma ในตัวอย่างที่ส่งตรวจ
  • ข้อดี
    • ให้ผลไว (1-2 วัน)
    • ความแม่นยำสูง
    • ตรวจได้ทั้ง Ureaplasma urealyticum และ Ureaplasma parvum
  • ใช้ในทั้ง
    • ผู้หญิง
    • ผู้ชาย
    • หญิงตั้งครรภ์ที่มีข้อบ่งชี้ให้ตรวจ

3 การตรวจแบบ Multiplex PCR

  • ปัจจุบันนิยมใช้ Multiplex PCR → ตรวจเชื้อหลายชนิดพร้อมกัน เช่น:
    • Ureaplasma
    • Mycoplasma genitalium
    • Chlamydia trachomatis
    • Neisseria gonorrhoeae (หนองในแท้)
  • เหมาะสำหรับ:
    • ผู้ที่มีอาการผิดปกติทางระบบทางเดินปัสสาวะ/สืบพันธุ์
    • คู่สมรสที่วางแผนมีบุตร
    • ผู้เข้ารับการตรวจ STD

หมายเหตุ

  • ไม่ใช่ทุกการตรวจภายใน หรือ Pap smear จะตรวจเจอ Ureaplasma → ต้องขอ ตรวจเฉพาะทาง
  • การเลือกวิธีตรวจ → ขึ้นกับ อาการ / ความเสี่ยง / ดุลยพินิจของแพทย์

ตรวจ Ureaplasma ต้องเตรียมตัวอย่างไร?

สำหรับผู้ที่กำลังวางแผน ตรวจหาเชื้อ Ureaplasma → ไม่ว่าจะด้วยเหตุผล

  • มีอาการผิดปกติ
  • เป็นคู่สมรสที่วางแผนมีบุตร
  • ตรวจสุขภาพประจำปี
  • ตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD Screening)

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจอย่างถูกต้อง จะช่วยให้ผลตรวจแม่นยำ และลดโอกาสเกิดผลลบลวง (False Negative)

วิธีเตรียมตัวก่อนตรวจ

1 งดมีเพศสัมพันธ์ก่อนตรวจ

  • ควรงด มีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง ก่อนเข้ารับการตรวจ
  • เพื่อหลีกเลี่ยงการชะล้างหรือกระตุ้นเชื้อ ซึ่งอาจทำให้ตรวจไม่พบเชื้อที่มีอยู่จริง

2 งดสวนล้างช่องคลอด (สำหรับผู้หญิง)

  • ไม่ควร สวนล้างช่องคลอด หรือใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดช่องคลอด ก่อนตรวจอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
  • เพราะอาจทำให้ปริมาณเชื้อในบริเวณตรวจลดลง ส่งผลต่อความแม่นยำของผลตรวจ

3 งดปัสสาวะก่อนตรวจ (สำหรับตัวอย่างปัสสาวะ)

  • หากแพทย์แนะนำให้เก็บ ปัสสาวะส่วนต้น (First Void Urine) → ควรงดปัสสาวะอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง ก่อนเก็บตัวอย่าง
  • เพื่อให้ปัสสาวะส่วนต้นมีความเข้มข้นของเชื้อเพียงพอสำหรับการตรวจ

4 แจ้งแพทย์หากได้รับยาปฏิชีวนะ

  • หากได้รับ ยาปฏิชีวนะ ภายใน 1-2 สัปดาห์ก่อนตรวจ → ควรแจ้งแพทย์
  • เพราะยาปฏิชีวนะอาจลดปริมาณเชื้อชั่วคราว → ส่งผลต่อผลการตรวจ
  • แพทย์อาจพิจารณา เลื่อนวันตรวจ เพื่อให้ผลตรวจแม่นยำที่สุด

5 ปรึกษาแพทย์หากตั้งครรภ์

  • สำหรับ หญิงตั้งครรภ์ ควรแจ้งแพทย์ก่อนตรวจเสมอ
  • เพื่อเลือกวิธีเก็บตัวอย่างที่ปลอดภัยและเหมาะสมที่สุดสำหรับการตั้งครรภ์

ข้อควรรู้เพิ่มเติม

  • การตรวจ Ureaplasma ไม่ใช่การตรวจมาตรฐานในโปรแกรมตรวจภายในทั่วไป → หากต้องการตรวจ ต้องแจ้งแพทย์หรือพนักงานรับบริการล่วงหน้า
  • การเตรียมตัวที่ดี → ช่วยให้ได้ ผลตรวจที่น่าเชื่อถือ → นำไปสู่ การวินิจฉัยและวางแผนการรักษา ที่ถูกต้อง

การรักษาเมื่อพบเชื้อ Ureaplasma

เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อ Ureaplasma → การรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมจะช่วย ลดภาวะแทรกซ้อน และป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น แม้ว่า Ureaplasma จะเป็นเชื้อที่สามารถอยู่ในร่างกายโดยไม่แสดงอาการ แต่ในกรณีที่มี

  • อาการผิดปกติ
  • ภาวะมีบุตรยาก
  • หญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยง
  • ผลตรวจพบเชื้อในปริมาณสูง → แพทย์จะพิจารณาให้การรักษาอย่างเหมาะสม

หลักการรักษา

1️ การใช้ยาปฏิชีวนะ

  • Ureaplasma ไม่มีผนังเซลล์ → ยาปฏิชีวนะกลุ่มที่ใช้ต้องเป็นกลุ่มที่ออกฤทธิ์ กับการสังเคราะห์โปรตีนของเชื้อ
  • ยาที่นิยมใช้ เช่น:
    • Doxycycline → ระยะเวลาการใช้ 7-14 วัน
    • Azithromycin → ใช้แบบ single dose หรือแบบต่อเนื่องตามดุลยพินิจแพทย์
    • ในบางกรณี → อาจใช้ Levofloxacin หรือยากลุ่มอื่น หากมีการดื้อยา

2️ รักษาคู่สมรสพร้อมกัน

  • แม้ว่าบางรายจะไม่มีอาการ → แต่ แพทย์จะแนะนำให้รักษาทั้งคู่ พร้อมกัน
  • เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ (Ping-pong infection) → ซึ่งเป็นสาเหตุของ การติดเชื้อเรื้อรัง ที่พบบ่อย

3️ การติดตามผลหลังการรักษา

  • โดยทั่วไป ไม่จำเป็นต้องตรวจซ้ำ หากอาการดีขึ้นและไม่มีความเสี่ยงสูง
  • ในกรณี:
    • หญิงตั้งครรภ์
    • มีบุตรยาก
    • ติดเชื้อซ้ำหลายครั้ง
    • คู่สมรสที่วางแผนมีบุตร → แพทย์อาจพิจารณาตรวจซ้ำด้วย PCR เพื่อยืนยันว่ารักษาได้ผล

ข้อควรระวัง

  • ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะมากินเอง → เพราะอาจทำให้เชื้อดื้อยา
  • ควรรับการรักษาตาม คำแนะนำของแพทย์เฉพาะทาง
  • หยุดยาไม่ได้กลางคัน → ควรกินยาให้ครบตามที่แพทย์สั่ง → เพื่อเพิ่มโอกาสรักษาเชื้อให้ได้ผลดีที่สุด

รักษา Ureaplasma ต้องใช้เวลานานไหม?

ระยะเวลาในการรักษาเชื้อ Ureaplasma → ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น

  • ชนิดของยาที่ใช้
  • ระดับความรุนแรงของการติดเชื้อ
  • ตำแหน่งของการติดเชื้อ
  • การตอบสนองต่อยาแต่ละราย

โดยทั่วไป → การรักษาจะใช้เวลาประมาณ 7-14 วัน → แต่ในบางกรณีอาจต้องใช้เวลานานกว่านั้น โดยเฉพาะหากมี การติดเชื้อเรื้อรัง หรือ มีการดื้อยา

ระยะเวลารักษาตามแนวทางปัจจุบัน

1️ ใช้ Doxycycline

  • ระยะเวลาที่แนะนำ → 7-14 วัน
  • ในกรณีที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน → มักได้ผลดีภายในช่วงนี้

2️ ใช้ Azithromycin

  • อาจใช้ Single Dose (ครั้งเดียว) หรือ 5 วัน หรือมากกว่า → ขึ้นกับดุลยพินิจแพทย์
  • กรณีติดเชื้อเรื้อรัง → อาจใช้ Azithromycin ต่อเนื่อง 7-14 วัน

3 การติดเชื้อเรื้อรังหรือติดซ้ำ

  • หากติดเชื้อซ้ำ หรือมีการติดเชื้อเรื้อรัง → อาจต้องใช้ ยาร่วมกันหลายตัว และระยะเวลาในการรักษา นานขึ้นกว่า 14 วัน
  • ในบางรายต้องมี การติดตามผลหลังการรักษา ด้วยการตรวจ PCR ซ้ำ

ปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลารักษา

  • สุขภาพของร่างกายโดยรวม → ภูมิคุ้มกันดี → มักตอบสนองต่อยาได้ดี
  • ตำแหน่งของการติดเชื้อ → ถ้าเชื้อลงลึก เช่น ต่อมลูกหมาก / อุ้งเชิงกราน → ใช้เวลารักษานานขึ้น
  • ประวัติการใช้ยาปฏิชีวนะมาก่อน → มีผลต่อการดื้อยา → ทำให้รักษายากขึ้นและนานขึ้น
  • การปฏิบัติตัวตามคำแนะนำแพทย์ → ถ้าทานยาไม่ครบ หรือหยุดยาเอง → เพิ่มโอกาสเกิดการติดซ้ำและเชื้อดื้อยา

ข้อควรรู้

  • อย่าหยุดยาเองก่อนครบกำหนด แม้ว่าอาการจะดีขึ้น
  • การรักษาที่ต่อเนื่องและครบถ้วน → เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการควบคุมเชื้อ
  • แม้หลังรักษา → ผู้ป่วยบางรายยังคงต้องติดตามดูอาการ และอาจมีการตรวจซ้ำในกรณีที่มีข้อบ่งชี้

ติด Ureaplasma ซ้ำได้ไหม? ทำยังไงไม่ให้เป็นซ้ำ

แม้ว่าการรักษาเชื้อ Ureaplasma จะให้ผลดีในหลายราย แต่ก็ยังมีโอกาสเกิด การติดเชื้อซ้ำ (Reinfection) ได้ในบางกรณี โดยเฉพาะในกลุ่มที่มี ปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อซ้ำ เช่น

  • มีคู่นอนหลายคน
  • คู่สมรส/คู่นอน ไม่ได้รับการรักษาพร้อมกัน
  • มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ
  • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
  • ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำในการป้องกันหลังรักษา

ติดเชื้อ Ureaplasma ซ้ำได้ไหม?

สามารถติดเชื้อซ้ำได้ → ไม่ได้หมายความว่ารักษาไม่หาย แต่เกิดจากการ ได้รับเชื้อใหม่ จาก

  • คู่ที่ยังมีเชื้อ
  • คู่นอนใหม่ที่มีเชื้อ
  • พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศที่ไม่มีการป้องกัน

ทำไมถึงมีโอกาสติดซ้ำ?

  • เชื้อ Ureaplasma เป็น เชื้อแฝง → แม้รักษาหายครั้งแรก หากพฤติกรรมเดิมยังไม่เปลี่ยน → มีโอกาสกลับมาติดใหม่ได้ง่าย
  • บางรายที่ คู่สมรสไม่ได้รับการรักษาพร้อมกัน → จะเกิด Ping-Pong Infection → ติดกันไป-มาเรื้อรัง
  • ระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ → ทำให้เกิด Colonization ได้ง่ายขึ้น

วิธีป้องกันไม่ให้ติดเชื้อซ้ำ

1️ รักษาคู่สมรส/คู่นอนพร้อมกัน

  • ควรรักษาทั้ง ตัวเองและคู่ของตน พร้อมกัน → เป็นวิธีที่ได้ผลที่สุดในการป้องกัน Ping-Pong Infection
  • หากรักษาแค่ฝ่ายเดียว → โอกาสติดซ้ำสูงมาก

2️ ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์

  • ลดโอกาสรับเชื้อใหม่
  • โดยเฉพาะในช่วง 3-6 เดือนแรกหลังรักษา → ซึ่งเป็นช่วงที่ ความเสี่ยงของการติดซ้ำสูงที่สุด

3️ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง

  • ลดจำนวนคู่นอน
  • หลีกเลี่ยง พฤติกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยงสูง

4️ ตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ

  • สำหรับผู้ที่มี พฤติกรรมเสี่ยง หรือคู่ที่มีความเสี่ยง → ควรตรวจสุขภาพเป็นระยะ ๆ
  • หากตรวจพบเชื้อเร็ว → สามารถรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น → ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน

5️ ปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์อย่างเคร่งครัด

  • กินยาให้ครบ
  • หากแพทย์แนะนำ ตรวจซ้ำ → ควรปฏิบัติตาม
  • อย่าหยุดยาเอง หรือปรับขนาดยาด้วยตัวเอง

Ureaplasma รักษาเองได้ไหม?

“ไม่ควรรักษาเอง” การรักษาเชื้อ Ureaplasma ควรได้รับการวินิจฉัยและดูแลโดย แพทย์เฉพาะทาง เท่านั้น ด้วยเหตุผลสำคัญดังนี้:

1️ ยาปฏิชีวนะต้องเลือกให้เหมาะสม

  • Ureaplasma เป็นเชื้อที่ ไม่มีผนังเซลล์ → ใช้ยาปฏิชีวนะเฉพาะกลุ่มเท่านั้นจึงจะได้ผล
  • การซื้อยามากินเอง หรือใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่ตรงกับเชื้อ → ไม่ช่วยรักษา และอาจก่อให้เกิด การดื้อยา ซึ่งทำให้รักษายากขึ้นในอนาคต

2️ ต้องประเมินว่าจำเป็นต้องรักษาหรือไม่

  • ในบางกรณี เช่น ตรวจเจอเชื้อแต่ไม่มีอาการ และไม่มีปัจจัยเสี่ยง → อาจไม่จำเป็นต้องรักษา ทันที
  • การพิจารณาว่าต้องรักษาหรือไม่ → เป็นหน้าที่ของแพทย์
  • หากรักษาโดยไม่จำเป็น → อาจทำให้ เสียสมดุลจุลชีพในร่างกาย และเพิ่มโอกาสติดเชื้อซ้ำ

3️ ต้องรักษาคู่สมรส/คู่นอนพร้อมกัน

  • หากรักษาแค่ตัวเอง แต่ คู่ไม่ได้รับการรักษาพร้อมกัน → โอกาสเกิด Ping-Pong Infection สูงมาก
  • แพทย์จะวางแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับ ทั้งคู่ เพื่อลดความเสี่ยงนี้

4️ การติดตามผลหลังการรักษา

  • บางกรณี เช่น หญิงตั้งครรภ์ / ผู้มีบุตรยาก / การติดเชื้อเรื้อรัง → ต้องมี การติดตามผลหลังรักษา
  • หากรักษาเอง → ไม่มีการประเมินผลอย่างถูกต้อง → เสี่ยงเกิด การติดเชื้อซ้ำ หรือภาวะแทรกซ้อน

ข้อควรรู้

  • ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะมากินเองจากร้านยา
  • การรักษาเชื้อ Ureaplasma → ควรทำ ภายใต้การดูแลของแพทย์ เท่านั้น
  • หากมีข้อสงสัย หรือสงสัยว่าติดเชื้อ → ควรเข้าพบแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด

วิธีดูแลตัวเองหลังรักษา Ureaplasma

หลังได้รับการรักษาเชื้อ Ureaplasma จนเสร็จสิ้น → การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อ:

  • ลดโอกาสการติดเชื้อซ้ำ
  • ส่งเสริมสุขภาพระบบทางเดินปัสสาวะและสืบพันธุ์
  • ช่วยให้ร่างกาย ฟื้นตัวได้เต็มที่

แนวทางดูแลตัวเองหลังรักษา

1️ ทานยาปฏิชีวนะให้ครบตามที่แพทย์สั่ง

  • แม้ว่าอาการจะดีขึ้น → ห้ามหยุดยาเองก่อนครบกำหนด
  • การทานยาให้ครบ → เป็นหัวใจสำคัญในการ กำจัดเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพ
  • หากหยุดยาเอง → เพิ่มความเสี่ยง การติดซ้ำ และ การดื้อยา

2️ งดมีเพศสัมพันธ์ช่วงฟื้นตัว

  • งดมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 7-14 วัน หลังสิ้นสุดการรักษา หรือจนกว่าแพทย์จะแนะนำว่าสามารถมีได้
  • การมีเพศสัมพันธ์เร็วเกินไป → เสี่ยง แพร่เชื้อที่ยังคงอยู่ หรือ รับเชื้อใหม่

3️ ใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอ

  • หลังจากกลับมามีเพศสัมพันธ์ → ควร ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง โดยเฉพาะในช่วง 3-6 เดือนแรก หลังการรักษา
  • เพื่อลดโอกาสติดเชื้อซ้ำ

4️ ตรวจสุขภาพติดตามตามนัด

  • หากแพทย์นัด ตรวจติดตามผล เช่น ตรวจ PCR ซ้ำ → ควรมาตามนัดทุกครั้ง
  • โดยเฉพาะในกรณี
    • หญิงตั้งครรภ์
    • ผู้ที่มีบุตรยาก
    • ผู้ที่มีประวัติติดเชื้อซ้ำบ่อยครั้ง

5️ ดูแลสุขภาพโดยรวม

  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ → เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
  • ดื่มน้ำมาก ๆ → ช่วย ล้างเชื้อแบคทีเรียออกจากทางเดินปัสสาวะ
  • หลีกเลี่ยง พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ที่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อใหม่

ข้อควรรู้

  • หลังการรักษา → อาจต้อง ให้เวลาร่างกายฟื้นตัว → อาการบางอย่าง เช่น ระคายเคืองเล็กน้อย อาจค่อย ๆ ดีขึ้นใน 1-2 สัปดาห์
  • หากมี อาการผิดปกติหลังรักษา → ควรรีบพบแพทย์ทันที เช่น
    • ปัสสาวะขัดหรือแสบขัดไม่หาย
    • มีตกขาวผิดปกติ (ในผู้หญิง)
    • มีสารคัดหลั่งผิดปกติ (ในผู้ชาย)
    • ปวดอุ้งเชิงกรานเรื้อรัง

วิธีป้องกันการติดเชื้อ Ureaplasma

แม้ว่าเชื้อ Ureaplasma จะสามารถพบได้ในคนทั่วไป และบางคนอาจไม่มีอาการ แต่หากติดเชื้อในระดับที่ก่อให้เกิดโรค → อาจมีผลกระทบต่อ สุขภาพทางเดินปัสสาวะ ระบบสืบพันธุ์ และภาวะมีบุตรยาก ได้
การป้องกันตั้งแต่แรกจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ

วิธีป้องกันที่ทำได้จริง

1️ ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์

  • เป็นวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อ Ureaplasma และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้ดีที่สุด
  • ควรใช้ อย่างถูกต้อง และตลอดระยะเวลาที่มีเพศสัมพันธ์ ไม่เฉพาะแค่ระหว่างการสอดใส่

2️ ลดจำนวนคู่นอน

  • การมี คู่นอนหลายคน → เพิ่มโอกาสรับเชื้อ Ureaplasma จากผู้ที่มีเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ
  • หากลดจำนวนคู่นอน และมีความสัมพันธ์ที่ปลอดภัย → ลดความเสี่ยงติดเชื้อได้มาก

3️ ตรวจสุขภาพและตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ

  • โดยเฉพาะในผู้ที่มี พฤติกรรมเสี่ยง หรือ คู่ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง
  • การตรวจเป็นระยะ → ช่วยตรวจเจอเชื้อ ตั้งแต่ยังไม่แสดงอาการ → ป้องกันการแพร่เชื้อต่อ

4️ รักษาสุขอนามัยส่วนตัว

  • ดูแล ความสะอาดของอวัยวะเพศ → ลดโอกาสสะสมเชื้อแบคทีเรีย
  • หลีกเลี่ยง การสวนล้างช่องคลอดบ่อยเกินไป → ซึ่งอาจทำลายจุลชีพดี และเพิ่มโอกาสการติดเชื้อ
  • หลังมีเพศสัมพันธ์ → ควรปัสสาวะเพื่อช่วยขับเชื้อแบคทีเรียออกจากทางเดินปัสสาวะ

5️ สื่อสารและรักษาความซื่อสัตย์ในความสัมพันธ์

  • การพูดคุยเปิดใจเรื่อง สุขภาพทางเพศกับคู่ของคุณ → เป็นสิ่งสำคัญ
  • คู่ที่ได้รับการตรวจและดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องร่วมกัน → จะช่วยลดโอกาสติดเชื้อระหว่างกันได้

ข้อควรรู้

  • ไม่มีวิธีป้องกันใดที่ ป้องกันได้ 100% → การปฏิบัติตามหลายวิธีร่วมกัน จะช่วยลดความเสี่ยงได้ดีที่สุด
  • หากมีข้อสงสัย หรือคิดว่าตนเองมีความเสี่ยง → ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการตรวจและดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม

Ureaplasma กับการใช้ถุงยางอนามัย ป้องกันได้จริงไหม?

ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ Ureaplasma ได้ → แต่ ไม่สามารถป้องกันได้ 100%

เหตุผลที่ถุงยางช่วยลดความเสี่ยง

  • เชื้อ Ureaplasma แพร่ผ่านทาง การสัมผัสสารคัดหลั่งทางเพศ เช่น น้ำหล่อลื่น น้ำอสุจิ หรือสารคัดหลั่งจากช่องคลอด
  • การใช้ถุงยางอนามัย → ช่วย ลดโอกาสสัมผัสสารคัดหลั่งเหล่านี้โดยตรง → จึงช่วยลดโอกาสติดเชื้อได้มาก

ทำไมถึงไม่ป้องกันได้ 100%

  • แม้จะใช้ถุงยาง → การสัมผัสกับบริเวณ อวัยวะเพศภายนอก หรือผิวหนังรอบ ๆ ซึ่งอาจมีเชื้ออยู่ → ยังมีโอกาสแพร่เชื้อได้บ้าง
  • เชื้อ Ureaplasma บางครั้งอาจอยู่ใน บริเวณปากมดลูก ท่อปัสสาวะ หรืออวัยวะเพศภายนอก ซึ่งไม่ได้ถูกคลุมด้วยถุงยางทั้งหมด

ข้อแนะนำเพิ่มเติม

  • แม้ใช้ถุงยางแล้ว → ยังแนะนำให้ ตรวจสุขภาพเป็นระยะ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยง
  • ใช้ถุงยาง อย่างสม่ำเสมอและถูกต้องทุกครั้ง → เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงจาก Ureaplasma และ STI อื่น ๆ

Ureaplasma แตกต่างจากเชื้ออื่นอย่างไร?

Ureaplasma เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเฉพาะตัว แตกต่างจาก แบคทีเรียทั่วไป และจาก เชื้อก่อโรคทางเพศสัมพันธ์ (STI) อื่น ๆ ในหลายด้าน ความเข้าใจจุดแตกต่างนี้ จะช่วยให้เรา เข้าใจธรรมชาติของเชื้อ และ เลือกวิธีการตรวจและรักษาได้เหมาะสม

1️ ไม่มีผนังเซลล์ (Cell wall)

  • จุดเด่นที่สุดของ Ureaplasma → เป็นแบคทีเรียที่ ไม่มีผนังเซลล์ (เหมือน Mycoplasma)
  • เชื้อแบคทีเรียทั่วไป เช่น E. coli, Staphylococcus → มีผนังเซลล์ → ใช้ยาปฏิชีวนะกลุ่ม Penicillin ได้ผล
  • แต่ Ureaplasma ไม่มีผนังเซลล์ → ต้องใช้ ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ต่อการสังเคราะห์โปรตีน เช่น Doxycycline หรือ Azithromycin
  • เป็นเหตุผลที่ ไม่ควรซื้อยาทั่วไปมากินเอง เพราะยาหลายชนิดไม่ครอบคลุมเชื้อนี้

2️ ขนาดเล็กมาก

  • Ureaplasma เป็นแบคทีเรียที่มีขนาดเล็กมาก → เล็กกว่าแบคทีเรียทั่วไป
  • ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วย กล้องจุลทรรศน์ธรรมดา (Light Microscope) → ต้องใช้วิธีพิเศษในการตรวจ เช่น PCR

3️ เป็นเชื้อแฝง (Colonization)

  • Ureaplasma สามารถอยู่ใน ระบบทางเดินปัสสาวะและสืบพันธุ์ โดยไม่ก่อโรค → เรียกว่าเป็น Colonizer
  • แตกต่างจากเชื้อ STI อื่น ๆ เช่น Chlamydia, Gonorrhea → ที่มักก่อโรคทันทีเมื่อได้รับเชื้อ
  • ดังนั้น → การตรวจพบเชื้อ Ureaplasma → แพทย์จะต้อง ประเมินร่วมกับอาการและปัจจัยเสี่ยง → ว่าควรให้การรักษาหรือไม่

4️ การแพร่เชื้อ

  • Ureaplasma แพร่เชื้อผ่านทาง
    • เพศสัมพันธ์ → เป็นช่องทางหลัก
    • การแพร่จาก แม่สู่ลูกขณะคลอด ก็เป็นไปได้
  • แตกต่างจากเชื้อบางชนิด เช่น HPV หรือ Herpes → ที่สามารถแพร่เชื้อผ่าน การสัมผัสผิวหนัง โดยไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์โดยตรง

5️ ความสัมพันธ์กับภาวะมีบุตรยาก

  • แม้ไม่ใช่เชื้อ STIs ที่ก่อโรคชัดเจนเสมอ → แต่มีหลักฐานว่า Ureaplasma อาจมีผลต่อภาวะมีบุตรยาก และ เพิ่มความเสี่ยงการคลอดก่อนกำหนดในหญิงตั้งครรภ์
  • เป็นจุดแตกต่างจาก STIs หลายชนิดที่เน้นผลกระทบเฉียบพลันมากกว่า

สรุป

Ureaplasma แม้จะเป็นเชื้อที่พบได้ในคนทั่วไป และหลายรายอาจไม่มีอาการ แต่หากปล่อยให้เชื้อสะสมหรือมีการติดเชื้อเรื้อรัง → อาจนำไปสู่ ปัญหาสุขภาพที่สำคัญ เช่น

  • การอักเสบของระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์
  • ภาวะมีบุตรยาก
  • เพิ่มความเสี่ยง การแท้งบุตร หรือการคลอดก่อนกำหนด ในหญิงตั้งครรภ์

ข้อดีคือ Ureaplasma สามารถตรวจพบและรักษาได้ หากได้รับการดูแลอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น
การ ตรวจสุขภาพเป็นระยะ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยง → เป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว

ไม่ควรมองข้ามเชื้อ Ureaplasma → เพราะถึงแม้จะเป็น “เชื้อเงียบ” ที่หลายคนไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ แต่หากรู้จักดูแลสุขภาพ และเข้ารับการตรวจรักษาอย่างเหมาะสม → ก็สามารถป้องกันและลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

icon email