Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

ตรวจปัสสาวะ บอกโรคติดต่อ อะไรได้บ้าง? 2025

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Infections: STIs) เป็นกลุ่มโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยบางโรคอาจไม่แสดงอาการชัดเจน แต่ยังคงแพร่เชื้อได้ การตรวจคัดกรองจึงมีความสำคัญเพื่อดูแลสุขภาพของตนเองและป้องกันการส่งต่อเชื้อให้ผู้อื่น

หนึ่งในวิธีที่หลายคนสนใจคือ การตรวจปัสสาวะ เพราะสะดวก ไม่เจ็บตัว และใช้เวลาไม่นาน แต่หลายคนอาจสงสัยว่า วิธีนี้ตรวจหาโรคอะไรได้บ้าง และมีข้อจำกัดอย่างไร บทความนี้จะอธิบายอย่างละเอียด เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกวิธีตรวจที่เหมาะสมที่สุดในปี 2025

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

ตรวจปัสสาวะหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้จริงไหม?

การตรวจปัสสาวะ (Urine test or Urinalysis) เป็นหนึ่งในวิธีที่ใช้ในการตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางชนิด ปัจจุบันห้องปฏิบัติการมักใช้เทคนิค NAAT หรือ PCR (Nucleic Acid Amplification Test / Polymerase Chain Reaction) เพื่อตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อในปัสสาวะ วิธีนี้สะดวก ไม่เจ็บตัว และได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ไม่สะดวกตรวจด้วยการเก็บตัวอย่างจากอวัยวะเพศหรือการเจาะเลือด

อย่างไรก็ตาม การตรวจปัสสาวะไม่ได้ตรวจเจอโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ทุกชนิด แต่จะเหมาะกับบางโรคเท่านั้น เช่น หนองในแท้ (Gonorrhea) และหนองในเทียม (Chlamydia) ซึ่งมักตรวจเจอได้แม่นยำจากตัวอย่างปัสสาวะแรกในตอนเช้า

ดังนั้น หากสงสัยว่าตัวเองอาจมีความเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรทราบว่าการตรวจปัสสาวะเป็นเพียงหนึ่งในหลายวิธี และอาจต้องใช้วิธีตรวจอื่นร่วมด้วยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ครบถ้วนและถูกต้องที่สุด

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ตรวจเจอจากปัสสาวะได้

การตรวจปัสสาวะสามารถใช้ตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางชนิด โดยเฉพาะการตรวจด้วยวิธี NAAT (Nucleic Acid Amplification Test) ที่มีความไวและแม่นยำสูง วิธีนี้เหมาะสำหรับโรคที่มีเชื้ออยู่ในทางเดินปัสสาวะ เช่น

  • หนองในแท้ (Gonorrhea) เกิดจากเชื้อ Neisseria gonorrhoeae มักพบในท่อปัสสาวะ และตรวจพบได้จากตัวอย่างปัสสาวะแรกในตอนเช้า
  • หนองในเทียม (Chlamydia) เกิดจากเชื้อ Chlamydia trachomatis เป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุดในกลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และตรวจพบได้ด้วยการตรวจปัสสาวะเช่นกัน
  • Trichomoniasis (บางกรณี) แม้จะตรวจได้จากปัสสาวะ แต่ความแม่นยำอาจต่ำกว่าวิธีตรวจจากสารคัดหลั่ง

อย่างไรก็ตาม ความถูกต้องของผลตรวจขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น ปริมาณเชื้อในตัวอย่าง ระยะเวลาหลังสัมผัสเชื้อ และวิธีการเก็บปัสสาวะ จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกวิธีตรวจที่เหมาะสมที่สุด

โรคที่ตรวจจากปัสสาวะไม่ได้ ต้องใช้วิธีอื่น

แม้ว่าการตรวจปัสสาวะจะช่วยตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางชนิดได้ แต่ก็มีหลายโรคที่ ไม่สามารถตรวจพบด้วยปัสสาวะ และจำเป็นต้องใช้การตรวจเลือดหรือการเก็บตัวอย่างจากอวัยวะที่เกี่ยวข้องแทน ได้แก่

  • เอชไอวี (HIV) → ต้องตรวจด้วยการเจาะเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันหรือหาสารพันธุกรรมของเชื้อ
  • ซิฟิลิส (Syphilis) → ตรวจด้วยเลือด โดยใช้การตรวจหาแอนติบอดีหรือการยืนยันด้วยวิธีเฉพาะ
  • เริม (Herpes simplex virus, HSV) → มักตรวจด้วยการเก็บตัวอย่างจากตุ่มแผลหรือการตรวจเลือดหาภูมิคุ้มกัน
  • HPV (Human Papillomavirus) → ตรวจด้วยการเก็บตัวอย่างจากปากมดลูกหรือทวารหนัก ไม่สามารถตรวจจากปัสสาวะได้โดยตรง

การเลือกวิธีตรวจขึ้นอยู่กับชนิดของโรคที่สงสัยและอวัยวะที่ได้รับเชื้อ การตรวจหลายวิธีร่วมกันจะช่วยเพิ่มความแม่นยำและครอบคลุมมากที่สุด

ตรวจปัสสาวะ STD เจ็บไหม?

การตรวจปัสสาวะเพื่อหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ถือว่าเป็นวิธีที่ ไม่เจ็บตัว ต่างจากการตรวจด้วยการเจาะเลือดหรือการเก็บตัวอย่างด้วยไม้ swab ซึ่งบางคนอาจรู้สึกไม่สบายตัว การตรวจแบบนี้เพียงแค่เก็บปัสสาวะช่วงแรก (first-catch urine) ใส่ภาชนะที่สะอาดตามที่เจ้าหน้าที่แนะนำ แล้วนำไปตรวจในห้องปฏิบัติการ

อย่างไรก็ตาม บางคนอาจรู้สึกอายหรือกังวลเรื่องขั้นตอนการเก็บตัวอย่าง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แพทย์และเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ได้รับการฝึกฝนให้ให้คำแนะนำโดยรักษาความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลผู้รับบริการ

ดังนั้น หากกังวลเรื่องความเจ็บปวด การตรวจปัสสาวะถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่สบายและสะดวกที่สุดสำหรับการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางชนิด

ตรวจปัสสาวะ STD มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร

การตรวจปัสสาวะเพื่อหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะมีข้อดีหลายด้าน แต่ก็มีข้อจำกัดที่ควรเข้าใจเช่นกัน

ข้อดีของการตรวจปัสสาวะ

  • ไม่เจ็บตัว เพราะไม่ต้องเจาะเลือดหรือใช้ไม้ swab
  • ทำได้ง่ายและรวดเร็ว เพียงเก็บปัสสาวะใส่ภาชนะที่สะอาด
  • เหมาะกับผู้ที่กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวหรือไม่สะดวกให้ตรวจจากอวัยวะเพศ

ข้อเสียและข้อจำกัดของการตรวจปัสสาวะ

  • ตรวจได้เฉพาะบางโรค เช่น หนองในแท้ (Gonorrhea) และหนองในเทียม (Chlamydia)
  • ความแม่นยำขึ้นอยู่กับช่วงเวลาหลังสัมผัสเชื้อ (window period) และวิธีเก็บตัวอย่าง
  • ไม่สามารถใช้แทนการตรวจเลือดสำหรับโรคอื่น ๆ เช่น HIV
  • การเลือกตรวจแบบใดขึ้นอยู่กับความเสี่ยงและชนิดโรคที่สงสัย การตรวจหลายวิธีร่วมกันมักให้ผลที่ครบถ้วนและแม่นยำกว่า

ตรวจปัสสาวะ vs ตรวจเลือด / Swab ต่างกันอย่างไร

วิธีการตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีหลายแบบ โดยแต่ละวิธีมีความเหมาะสมและข้อจำกัดต่างกัน

ตรวจปัสสาวะ

  • ใช้ตรวจโรคบางชนิด เช่น หนองในแท้ (Gonorrhea) และหนองในเทียม (Chlamydia)
  • ข้อดี: ไม่เจ็บตัว เก็บตัวอย่างง่าย
  • ข้อจำกัด: ตรวจไม่ได้ทุกโรค เช่น HIV

ตรวจเลือด

  • ใช้ตรวจโรคที่ต้องตรวจหาภูมิคุ้มกันหรือเชื้อในกระแสเลือด เช่น HIV, ซิฟิลิส, ไวรัสตับอักเสบ, เริมบางชนิด
  • ข้อดี: ครอบคลุมโรคที่ตรวจปัสสาวะไม่ได้
  • ข้อจำกัด: ต้องเจาะเลือด บางคนอาจรู้สึกกังวลหรือเจ็บ

ตรวจด้วยไม้ Swab (เก็บสารคัดหลั่งจากอวัยวะเพศ/ช่องปาก/ทวารหนัก)

  • ใช้ตรวจโรคที่อยู่เฉพาะในอวัยวะ เช่น HPV, เริม, หนองใน บริเวณอื่นที่ไม่ใช่ท่อปัสสาวะ
  • ข้อดี: ตรวจเจาะจงในตำแหน่งที่สงสัยติดเชื้อ
  • ข้อจำกัด: อาจรู้สึกไม่สบายตัวตอนเก็บตัวอย่าง

ดังนั้น การเลือกวิธีตรวจขึ้นอยู่กับชนิดโรคที่ต้องการตรวจและตำแหน่งที่สงสัยว่าได้รับเชื้อ

ตรวจปัสสาวะเมื่อไรถึงแม่นยำ (Window period)

ผลการตรวจปัสสาวะเพื่อหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จะมีความแม่นยำก็ต่อเมื่อทำการตรวจในช่วงเวลาที่เหมาะสมหลังจากมีความเสี่ยงติดเชื้อ หรือที่เรียกว่า Window period

  • หนองในแท้ (Gonorrhea): โดยทั่วไปตรวจพบได้หลังสัมผัสเชื้อประมาณ 5–7 วัน
  • หนองในเทียม (Chlamydia): มักตรวจเจอได้ชัดเจนหลังสัมผัสเชื้อประมาณ 1–2 สัปดาห์
  • Trichomoniasis: ระยะตรวจที่เหมาะสมอยู่ที่ ประมาณ 1 สัปดาห์ขึ้นไป

หากตรวจเร็วเกินไป เชื้ออาจยังไม่มากพอที่จะตรวจพบ ทำให้ผลออกมาเป็นลบทั้งที่มีการติดเชื้อจริง ดังนั้น หากมีความเสี่ยงสูง ควรตรวจในช่วงเวลาที่เหมาะสม หรืออาจต้องตรวจซ้ำตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อยืนยันผล

ใครบ้างที่ควรตรวจปัสสาวะหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

แม้บางคนจะไม่มีอาการผิดปกติ แต่ก็อาจติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ การตรวจปัสสาวะจึงเป็นทางเลือกที่ควรพิจารณาในกลุ่มต่อไปนี้

  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เช่น ไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย
  • ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน หรือเพิ่งเปลี่ยนคู่นอนใหม่
  • ผู้ที่คู่นอนมีประวัติการติดเชื้อ หรือมีอาการเข้าข่ายโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • ผู้ที่มีอาการผิดปกติ เช่น ปัสสาวะแสบขัด มีหนองหรือตกขาวผิดปกติ
  • ผู้ที่ต้องการตรวจเพื่อความมั่นใจ เช่น ก่อนแต่งงาน ก่อนมีบุตร หรือก่อนเริ่มความสัมพันธ์ใหม่

การตรวจแม้ในคนที่ไม่มีอาการ ถือเป็นการดูแลสุขภาพตนเองและป้องกันการแพร่เชื้อต่อไปยังผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเตรียมตัวก่อนตรวจปัสสาวะหา STD

เพื่อให้ผลตรวจปัสสาวะหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีความแม่นยำ ผู้เข้ารับการตรวจควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้

  • งดปัสสาวะอย่างน้อย 1–2 ชั่วโมงก่อนเก็บตัวอย่าง เพื่อให้มีเชื้อสะสมในท่อปัสสาวะมากพอ
  • ใช้ปัสสาวะช่วงแรก (first-catch urine) ประมาณ 20–30 มิลลิลิตร ไม่จำเป็นต้องเก็บจนหมดกระเพาะปัสสาวะ
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะ อย่างน้อย 1–2 สัปดาห์ก่อนตรวจ (หากไม่ได้รับคำสั่งจากแพทย์) เพราะอาจทำให้เชื้อลดลงจนตรวจไม่พบ
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำเฉพาะของคลินิกหรือห้องปฏิบัติการ เนื่องจากบางแห่งอาจมีขั้นตอนแตกต่างกันเล็กน้อย
  • แจ้งข้อมูลสำคัญกับแพทย์ เช่น ประวัติอาการ ความเสี่ยงล่าสุด หรือยาที่ใช้อยู่

การเตรียมตัวที่ถูกต้องช่วยให้การตรวจได้ผลที่เชื่อถือได้ และลดความเสี่ยงในการต้องตรวจซ้ำ

ผลตรวจปัสสาวะ STD ใช้เวลากี่วัน / รอผลนานไหม

ระยะเวลาที่ใช้ในการทราบผลตรวจปัสสาวะเพื่อหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ห้องปฏิบัติการใช้และระบบการรายงานผลของแต่ละคลินิก

  • การตรวจมาตรฐานด้วย NAAT / PCR: มักใช้เวลาประมาณ 2–5 วันทำการ เพื่อยืนยันผลที่แม่นยำ
  • การตรวจเร่งด่วน (บางคลินิก): อาจมีบริการรายงานผลภายใน 24 ชั่วโมง แต่ขึ้นกับชนิดการตรวจและเครื่องมือที่ใช้
  • การตรวจร่วมกับวิธีอื่น (เช่น เลือดหรือ swab): ระยะเวลารอผลอาจแตกต่างกัน บางกรณีต้องรอผลรวมจากหลายวิธี

ควรสอบถามเวลารอผลจากคลินิกโดยตรง เนื่องจากแต่ละสถานพยาบาลอาจมีระบบและระยะเวลาที่ไม่เหมือนกัน

ผลตรวจปัสสาวะออกมาเป็นอย่างไร แปลผลอย่างไร

ผลตรวจปัสสาวะเพื่อหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จะถูกรายงานออกมาในรูปแบบที่เข้าใจง่าย โดยทั่วไปห้องปฏิบัติการจะแสดงผลว่า

  • ผลลบ (Negative) → ไม่พบเชื้อที่ตรวจในตัวอย่างปัสสาวะ หมายความว่าไม่มีการติดเชื้อชนิดนั้น ๆ หรืออาจตรวจเร็วเกินไปจนยังไม่พบ
  • ผลบวก (Positive) → พบเชื้อในตัวอย่างปัสสาวะ สอดคล้องกับการติดเชื้อชนิดนั้น ๆ และควรได้รับการยืนยันและรักษาต่อเนื่องโดยแพทย์
  • ผลไม่ชัดเจน (Inconclusive/Indeterminate) → บางครั้งอาจเกิดจากปริมาณเชื้อไม่เพียงพอ หรือขั้นตอนการเก็บตัวอย่างไม่ถูกต้อง จำเป็นต้องตรวจซ้ำ

แม้ว่าผลตรวจจะบอกได้ชัดเจนระดับหนึ่ง แต่การแปลผลยังต้องอาศัยการซักประวัติ อาการ และปัจจัยเสี่ยงร่วมด้วย ดังนั้นควรให้แพทย์เป็นผู้สรุปผลเพื่อความถูกต้องและเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

ถ้าผลตรวจเจอโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ต้องทำอย่างไรต่อ

หากผลตรวจปัสสาวะออกมาเป็นบวก หมายความว่าพบการติดเชื้อ ควรดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้

  • พบแพทย์เพื่อยืนยันผล: แพทย์อาจแนะนำการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด หรือ swab เพื่อยืนยันชนิดเชื้อและวางแผนรักษา
  • เข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสม: การรักษาขึ้นกับชนิดโรค เช่น หนองในแท้และหนองในเทียมสามารถรักษาด้วยยาปฏิชีวนะตามแพทย์สั่ง
  • แจ้งคู่นอน: เพื่อให้เข้ารับการตรวจและรักษาพร้อมกัน ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อซ้ำไปมา
  • งดเพศสัมพันธ์จนกว่าจะรักษาหาย: เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น
  • ติดตามผลการรักษา: ในบางกรณีแพทย์อาจแนะนำให้ตรวจซ้ำเพื่อยืนยันว่าเชื้อหมดไปแล้ว

การดูแลอย่างถูกต้องหลังทราบผลตรวจมีความสำคัญทั้งต่อสุขภาพของตนเองและการป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น

ตรวจปัสสาวะหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทำเองที่บ้านได้ไหม

ปัจจุบันมี ชุดตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แบบตรวจเองที่บ้าน (home test kit) วางจำหน่าย ซึ่งบางชนิดใช้ปัสสาวะเป็นตัวอย่างในการตรวจ จุดเด่นคือสะดวก รักษาความเป็นส่วนตัว และไม่ต้องเดินทางไปคลินิก

อย่างไรก็ตาม ชุดตรวจที่บ้านมีข้อจำกัดหลายประการ เช่น

  • ความแม่นยำอาจน้อยกว่าการตรวจในห้องปฏิบัติการ
  • ตรวจได้เฉพาะบางโรค ไม่ครอบคลุมทั้งหมด
  • มีโอกาสเกิดผลผิดพลาดจากขั้นตอนการเก็บตัวอย่างหรือการอ่านผลเอง
  • หากผลออกมาเป็นบวก ยังคงต้องไปพบแพทย์เพื่อยืนยันผลและรับการรักษา

ดังนั้น การตรวจที่บ้านอาจเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคัดกรองเบื้องต้น แต่หากต้องการความถูกต้องและครอบคลุม ควรเข้ารับการตรวจที่คลินิกหรือโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือมาตรฐาน

ตรวจปัสสาวะที่คลินิกเฉพาะทางดีกว่าตรวจเองที่บ้านอย่างไร

แม้ว่าการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วยชุดตรวจที่บ้านจะสะดวกและเป็นส่วนตัว แต่การตรวจที่คลินิกเฉพาะทางยังคงมีข้อได้เปรียบหลายด้านที่สำคัญ ได้แก่

  • ความแม่นยำสูงกว่า: ห้องปฏิบัติการใช้เทคนิคมาตรฐาน เช่น NAAT หรือ PCR ซึ่งให้ผลที่น่าเชื่อถือมากกว่า test kit ที่บ้าน
  • ตรวจได้หลายโรคพร้อมกัน: สามารถตรวจทั้งปัสสาวะ เลือด และ swab ในครั้งเดียว ทำให้ครอบคลุมโรคติดต่อที่ตรวจไม่ได้จากปัสสาวะอย่างเดียว
  • มีแพทย์ให้คำปรึกษา: ช่วยอธิบายผล ตรวจซ้ำเมื่อจำเป็น และให้การรักษาที่เหมาะสม
  • ความปลอดภัยและการควบคุมคุณภาพ: ตัวอย่างปัสสาวะถูกเก็บและตรวจตามมาตรฐาน ลดความเสี่ยงการปนเปื้อนหรือการแปลผลผิดพลาด
  • บริการติดตามผล: หากผลเป็นบวก คลินิกสามารถดูแลต่อเนื่องและช่วยวางแผนการรักษา รวมถึงการแจ้งคู่นอนอย่างเหมาะสม

ดังนั้น หากต้องการความมั่นใจและผลที่ครอบคลุม การตรวจที่คลินิกเฉพาะทางยังคงเป็นทางเลือกที่เชื่อถือได้มากกว่า

รีวิวประสบการณ์ตรวจปัสสาวะ STD จากผู้ใช้บริการ

หลายคนที่เข้ารับการตรวจปัสสาวะหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มักมีความกังวลก่อนตรวจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเจ็บ ความเป็นส่วนตัว หรือระยะเวลารอผล แต่จากประสบการณ์ของผู้ที่เคยตรวจจริง ส่วนใหญ่พบว่า

  • ขั้นตอนการตรวจไม่ซับซ้อน เพียงเก็บปัสสาวะใส่ภาชนะตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่
  • ไม่รู้สึกเจ็บ ต่างจากการเจาะเลือดหรือเก็บตัวอย่างด้วย swab
  • การให้บริการเป็นส่วนตัว คลินิกเฉพาะทางมักจัดพื้นที่และขั้นตอนที่รักษาความลับของผู้เข้ารับบริการ
  • ผลตรวจได้รับตามกำหนดเวลา บางแห่งสามารถแจ้งผลผ่านระบบออนไลน์หรือโทรศัพท์อย่างปลอดภัย
  • รู้สึกสบายใจมากขึ้นหลังตรวจ เพราะได้คำตอบชัดเจน และสามารถวางแผนดูแลสุขภาพต่อได้

รีวิวเหล่านี้สะท้อนว่าการตรวจปัสสาวะเป็นหนึ่งในวิธีที่หลายคนยอมรับและเลือกใช้ เมื่อกังวลเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ค่าใช้จ่ายในการตรวจปัสสาวะ STD ประมาณเท่าไร

ที่ Bangkok Safe Clinic มีบริการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วยวิธี PCR จากปัสสาวะ ครอบคลุมหลายแพ็กเกจ ขึ้นอยู่กับจำนวนโรคที่ตรวจ ดังนี้

  • ตรวจ PCR ปัสสาวะ 2 โรค → 3,200 บาท
    • Neisseria gonorrhoeae (หนองในแท้)
    • Chlamydia trachomatis (หนองในเทียม)
    • ทราบผลภายใน 24 ชั่วโมง
  • ตรวจ PCR ปัสสาวะ 7 โรค → 3,500 บาท
  • ตรวจ PCR ปัสสาวะ 11 โรค → 4,000 บาท
    • ครอบคลุม Gonorrhea, Chlamydia หลายสายพันธุ์, Mycoplasma, Ureaplasma, Trichomonas รวมถึง Herpes simplex virus และ Treponema pallidum (ซิฟิลิส)
    • ทราบผลภายใน 3–5 วัน
  • ตรวจ PCR ปัสสาวะ 15 โรค → 4,900 บาท
    • ครอบคลุมการตรวจเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราที่พบบ่อย เช่น Gardnerella, Group B Streptococcus, Candida
    • ทราบผลภายใน 24 ชั่วโมง

ราคาดังกล่าวรวมค่าตรวจในห้องปฏิบัติการแล้ว แต่ อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าพบแพทย์หรือค่าปรึกษา ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของผู้เข้ารับบริการ

สรุป: ตรวจปัสสาวะ STD

การตรวจปัสสาวะเพื่อหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการตรวจหาเชื้อบางชนิด เช่น หนองในแท้ (Gonorrhea) และหนองในเทียม (Chlamydia) โดยเฉพาะผู้ที่ไม่สะดวกตรวจด้วยการเจาะเลือดหรือเก็บตัวอย่างด้วย swab วิธีนี้สะดวก ไม่เจ็บตัว และให้ผลรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม การตรวจปัสสาวะ ไม่สามารถครอบคลุมทุกโรคได้ หากสงสัยการติดเชื้อชนิดอื่น เช่น HIV, ซิฟิลิส, เริม หรือ HPV ควรเลือกตรวจเลือดหรือวิธีที่เหมาะสมเพิ่มเติมตามคำแนะนำของแพทย์

ดังนั้น ผู้ที่มีความเสี่ยงหรือมีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ควรพิจารณาตรวจด้วยวิธีที่หลากหลายเพื่อให้ได้ผลที่ครบถ้วนและแม่นยำ การเลือกตรวจแบบไหนดี จึงขึ้นอยู่กับ ชนิดของโรคที่ต้องการตรวจ อาการ และคำแนะนำจากแพทย์เฉพาะทาง

อ้างอิง

icon email