เชื้อราในช่องคลอดเป็นปัญหาสุขภาพที่ผู้หญิงส่วนใหญ่มักพบอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต แม้จะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้ อาการที่พบได้บ่อย เช่น คัน แสบร้อน และตกขาวผิดปกติ มักทำให้หลายคนกังวลและสับสนว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่
บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจเชื้อราในช่องคลอดอย่างครบถ้วน ตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีวินิจฉัย การรักษา และวิธีป้องกัน รวมถึงตอบคำถามยอดฮิตที่ผู้หญิงทุกคนควรรู้ไว้เพื่อดูแลสุขภาพของตนเองให้ดีที่สุด
เชื้อราในช่องคลอด คืออะไร?
เชื้อราในช่องคลอด หรือที่รู้จักกันในชื่อทางการแพทย์ว่า Vaginal Candidiasis หรือ Vulvovaginal Candidiasis เกิดจากการเจริญเติบโตมากเกินปกติของเชื้อราในกลุ่ม Candida ซึ่งปกติอาศัยอยู่ในช่องคลอดอย่างมีสมดุล
เมื่อสมดุลของแบคทีเรียดีในช่องคลอดถูกรบกวน เช่น จากการใช้ยาปฏิชีวนะ สภาพร่างกายเปลี่ยนแปลง หรือฮอร์โมน การเจริญของเชื้อ Candida จะเพิ่มขึ้น เกิดการอักเสบ แดง คัน และตกขาวสีขาวข้นคล้ายน้ำนมจับเป็นก้อน “cottage‑cheese”
โรคนี้พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ (75% เคยเป็นอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต และ 40–45% เกิดซ้ำอย่างน้อยสองครั้ง)
ทำไมเชื้อราในช่องคลอดถึงกลับมาเป็นซ้ำซาก?
เชื้อราในช่องคลอดจะถือว่าเป็นแบบ Recurrent Vulvovaginal Candidiasis (RVVC) เมื่อมีอาการซ้ำอย่างน้อย 3 ครั้งใน 12 เดือน หรือ 4 ครั้งต่อปี
ถึงแม้จะได้รับการรักษาอาการหายแล้ว แต่ผู้หญิงราว 5–8% ของวัยเจริญพันธุ์จะมีภาวะเชื้อราซ้ำซาก
สาเหตุสำคัญของการกลับมาเป็นซ้ำ ได้แก่:
- เชื้อสาย Candida ดื้อยา เช่น non‑albicans species (C. glabrata หรือ C. tropicalis) ที่ตอบสนองต่อยา azole น้อยกว่า
- การรักษาไม่ครบขั้นตอน จากการใช้ยาทาไม่ต่อเนื่อง หรือหยุดยากลางคัน
- ปัจจัยเสี่ยงภายในร่างกาย เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะบ่อย, เกิดภาวะ hyperglycemia (เบาหวาน), หรือภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ
- พันธุกรรมความไวต่อเชื้อ เช่น การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันไม่เพียงพอ
- การติดเชื้อซ้ำจากคู่เพศสัมพันธ์ มีงานวิจัยพบว่าในบางกรณีเชื้อจากคู่สามารถส่งกลับสู่ผู้หญิงได้
อาการเบื้องต้นของเชื้อราในช่องคลอด
อาการของเชื้อราในช่องคลอดมีตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงปานกลาง บางรายอาจไม่แสดงอาการใดเลยโดยอาการทั่วไปที่พบได้บ่อย ได้แก่:
- คันหรือระคายเคืองบริเวณช่องคลอดและฝีเย็บ อาการนี้อาจคันมากจนรู้สึกไม่สบาย โดยเฉพาะหลังจากใส่เสื้อผ้าที่คับ
- ตกขาวสีขาวข้นคล้ายชีสโฮมเมด (“cottage‑cheese”) โดยมากไม่มีกลิ่นแรง
- แสบร้อนขณะปัสสาวะหรือขณะมีเพศสัมพันธ์ เพราะเนื้อเยื่ออักเสบ
- ปากช่องคลอดบวม แดง หรือมีรอยแตกร้าว กรณีอาการรุนแรงหรือซ้ำซาก
อาการที่ควรพบแพทย์ทันที:
- อาการครั้งแรกที่เกิดขึ้นโดยไม่เคยเป็นมาก่อน
- ยาทาที่ใช้แล้วอาการไม่ดีขึ้นภายใน 7–14 วัน
- มีตกขาวผิดปกติร่วมกับกลิ่นแรงหรือสีผิดปกติ เช่น เหลือง เขียว
- มีไข้ ปวดท้องส่วนล่าง หรือเจ็บรุนแรงควบคู่กับอาการ
- มีอาการซ้ำหลายครั้งภายในปีเดียว
ความแตกต่างระหว่างเชื้อรา vs การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ และโรคช่องคลอดชนิดอื่น ๆ
โรคช่องคลอดอักเสบ (vaginitis) มีสาเหตุหลายแบบ โดยอาการอาจคล้ายกัน แต่อาการที่เกิดจากเชื้อรา, แบคทีเรียล วาไจโนซิส (BV = Bacterial Vaginosis) และทริโคโมไนเอซิส (Trichomoniasis) มีลักษณะต่างกันดังนี้:
1. เชื้อราในช่องคลอด (Yeast Infection / Candidiasis)
- สาเหตุ: เชื้อรา Candida โดยเฉพาะ C.albicans
- ตกขาว: ข้นเป็นก้อนสีขาวคล้ายชีส (“cottage‑cheese”), มักไม่มีกลิ่นแรง
- อาการร่วม: คัน ระคายเคือง แสบร้อนขณะปัสสาวะหรือมีเพศสัมพันธ์ บางครั้งมีรอยแดงหรือบวมบริเวณช่องคลอด
2. Bacterial Vaginosis (BV)
- สาเหตุ: แบคทีเรีย (เช่น Gardnerella vaginalis) เจริญเกินสมดุล ไม่ใช่เชื้อรา
- ตกขาว: ลักษณะเหลว สีขาว/เทา/เหลือง กลิ่นเหมือนปลา โดยเฉพาะช่วงมีประจำเดือนหรือหลังมีเพศสัมพันธ์
- อาการร่วม: คันเล็กน้อยหรือไม่คัน ไม่ค่อยมีรอยแดงบริเวณช่องคลอด
3. พยาธิในช่องคลอด หรือทริโคโมไนเอซิส (Trichomoniasis)
- สาเหตุ: อสุจิพาราสิต Trichomonas vaginalis และจัดว่าเป็น STI เพราะติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- ตกขาว: ลักษณะเหลว สีเหลืองหรือเขียว กลิ่นแรง มักมีกลิ่นไม่พึงประสงค์
- อาการร่วม: คัน รู้สึกแสบร้อน ปวดขณะปัสสาวะหรือมีเพศสัมพันธ์ ผิวช่องคลอดอักเสบอาจพบ cervical “สตรอว์เบอร์รี” (จุดแดงกระจาย)
สรุปเปรียบเทียบ
โรค/อาการ
|
ตกขาว
|
กลิ่น
|
การอักเสบ/คัน
|
สารต้นเหตุ/การรักษา
|
---|
เชื้อรา
|
ข้น, ขาว, คล้ายชีส
|
ไม่มีหรือมีกลิ่นอ่อน
|
คันและแสบร้อนบ่อย
|
เชื้อรา Candida → ยา antifungal (OTC/แพทย์)
|
BV
|
เหลว, ขาว-เทา-เหลือง
|
กลิ่นปลารุนแรง
|
คันน้อยหรือไม่มี
|
แบคทีเรีย → ยาปฏิชีวนะ (metronidazole/clindamycin)
|
ทริโคโมไนเอซิส
|
เหลว, เหลือง/เขียว
|
กลิ่นแรง
|
คัน, แสบร้อน
|
พาราสิต → ยาปฏิชีวนะ (metronidazole/tinidazole)
|
การวินิจฉัยโรคเชื้อราในช่องคลอด
การวินิจฉัยแบ่งเป็น 2 ขั้นตอนหลัก:
- ตรวจร่างกาย & สอบถามอาการ
- แพทย์จะสอบประวัติ เช่น เคยเป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือใช้ยาปฏิชีวนะบ่อยหรือไม่
- ทำการตรวจแบบอุ้งเชิงกราน (pelvic exam) เพื่อสังเกตความผิดปกติบริเวณปากช่องคลอดและตกขาว
- ตรวจทางห้องแลป (laboratory tests)
- Wet prep / KOH smear: นำตกขาวมาผสมสารละลาย KOH ดูภายใต้กล้องจุลทรรศน์ เพื่อหาสปอร์เชื้อราและ pseudohyphae
- วัดค่า pH ช่องคลอด: หากน้อยกว่า 4.5 จะสอดคล้องกับ VVC แต่ถ้าสูง อาจตัดโรคอื่นได้ เช่น BV หรือ Trichomoniasis
- เพาะเชื้อ (culture) / PCR: ใช้ในกรณีที่อาการรุนแรง ซ้ำหลายครั้ง หรือสงสัยเชื้อดื้อยา โดยเฉพาะ non-albicans species เช่น C. glabrata
ข้อแนะนำ
- ในกรณี เชื้อรากลับซ้ำ (3 ครั้งต่อปี) แนะนำให้ตรวจเพาะเชื้อและทดสอบความไวต่อยา เพื่อปรับแผนรักษาให้เหมาะสม
- การตรวจวินิจฉัยด้วยวัฒนธรรมเชื้อรา (culture) ถือเป็น gold standard และ PCR ก็เริ่มใช้ในองค์การสุขภาพบางแห่ง
วิธีรักษาเชื้อราในช่องคลอด
การรักษาแบ่งหลักเป็น ยาใช้ภายนอก (OTC) และ ยารับประทานตามแพทย์ ตามอาการและความรุนแรงของโรค
1. ยาใช้ภายนอก (OTC – Topical Antifungals)
ใช้ได้ผลดีสำหรับอาการปกติไม่รุนแรง
- Clotrimazole, Miconazole, Tioconazole, Terconazole, Nystatin มีรูปแบบครีมหรือเม็ดเสียบติดต่อกัน 1–7 วัน
- ช่วยบรรเทาอาการคัน แสบร้อน และลดตกขาวได้ภายในไม่กี่วัน
2. ยารับประทาน (Oral Antifungals)
เหมาะกับอาการรุนแรงหรือเป็นบ่อย
- Fluconazole (Diflucan)
- ขนาด 150 มก. รับประทานครั้งเดียว สำหรับอาการไม่ซับซ้อน
- กรณีอาการรุนแรง: 150 มก. ทุก 72 ชม. จำนวน 2–3 ครั้ง
- กรณีเป็นซ้ำบ่อย: รับประทานต่อเนื่อง 10–14 วัน แล้วต่อด้วย 150 มก. สัปดาห์ละครั้งนาน 6 เดือน
- Ibrexafungerp (Brexafemme)
- ยากินกลุ่มใหม่ ไม่ใช่ azole รับประทานสองเม็ดในหนึ่งวัน เหมาะกับคนแพ้หรือดื้อยา azole
- Oteseconazole (Vivjoa)
- ใช้เฉพาะในกรณีเชื้อราซ้ำ วางยารับประทานเพื่อป้องกันซ้ำ ลดอาการกลับมาได้ชัดเจน
3. ยาเสริมกรณีพิเศษ
- กรณี non-albicans (ดื้อยา): ใช้สารฆ่าเชื้อแบบ non-azole เช่น boric acid 600 มก. เสียบวันละครั้ง 14–21 วัน บ้างใช้เป็นการบำรุงระยะยาว
- กรณีซีดเรื้อรัง: แพทย์อาจแนะนำ nystatin, flucytosine, หรือ amphotericin B cream ตามดุลยพินิจ
4. การรักษาพิเศษสำหรับตั้งครรภ์
- ใช้ clotrimazole หรือ nystatin ในรูปครีมหรือเม็ดเสียบ 7–14 วัน เนื่องจากปลอดภัยกว่ายารับประทาน
ข้อควรระวัง
- สำหรับ ผู้มีประวัติติดเชื้อซ้ำซาก ตามแนวทาง CDC ให้รักษาควบคุมอาการให้หาย แนะนำต่อด้วยยา weekly maintenance 6 เดือน
- การใช้ยา OTC ควรปฏิบัติตามฉลาก หากอาการไม่ดีขึ้นใน 7–14 วัน หรือเป็นซ้ำให้พบแพทย์เพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติม
การดูแลหลังรักษาและการป้องกันเชื้อรากลับมาเป็นซ้ำ
หลังจากรักษาจนหายแล้ว ควรปฏิบัติตามแนวทางเพื่อรักษาสมดุลในช่องคลอดและลดโอกาสการเกิดซ้ำ:
- รักษาสุขอนามัยบริเวณช่องคลอ
- ล้างด้วยน้ำเปล่าหรือผลิตภัณฑ์ที่ pH สมดุล (ไม่ใส่สารกันเสีย/น้ำหอม)
- ซับส่วนที่เปียกเมื่อล้างหน้าให้แห้งสนิท
- เลือกใส่เสื้อผ้าหลวม ระบายอากาศดี
- เลี่ยงกางเกงรัดรูป ถุงน่องแน่น หรือชุดชั้นในที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์
- เปลี่ยนชุดชั้นในและผ้าเช็ดตัวเป็นประจำ
- เปลี่ยนเช้า–เย็น และหลีกเลี่ยงใช้ผ้าเช็ดตัวหรือชุดชั้นในร่วมกับผู้อื่น
- ควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางพฤติกรรม/สุขภาพ
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะเมื่อไม่จำเป็น
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน
- ลดการใช้อ่างแช่น้ำอุ่น และสระว่ายน้ำที่ไม่สะอาด
- รับประทานอาหารที่ส่งเสริมสมดุลเชื้อจุลชีพ
- เพิ่มการรับประทานโยเกิร์ตที่มีจุลินทรีย์โปรไบโอติก เช่น Lactobacillus acidophilus
- ลดอาหารหวานและแป้งขัดขาว เพื่อจำกัดการเติบโตของเชื้อรา
- ใช้ยาป้องกันเป็นประจำสำหรับผู้ที่เป็นซ้ำ
- สำหรับผู้ที่มี Recurrent VVC ตามแนวทาง CDC: รับประทาน Fluconazole 150 มก. รายสัปดาห์ นาน 6 เดือน
- สามารถใช้ Boric acid 600 มก. เสียบก่อนนอน 2–3 ครั้ง/สัปดาห์ ในกรณีดื้อยา non-albicans
เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์ทันที?
คุณควรรีบพบแพทย์ในกรณีเหล่านี้
- อาการครั้งแรกที่ไม่เคยมีมาก่อน และไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร
- อาการยังไม่ดีขึ้นหลังใช้ยา OTC 7–14 วัน
- ตกขาวมีสีผิดปกติ (เหลือง/เขียว) หรือมีกลิ่นแรง
- มีไข้ ปวดท้องส่วนล่าง หรือเจ็บรุนแรงร่วมกับอาการช่องคลอด
- มีอาการซ้ำหลายครั้งใน 1 ปี
- ตั้งครรภ์และมีอาการ หรือมีโรคประจำตัวที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
- การติดเชื้อเพิ่มในอวัยวะสืบพันธุ์ส่วนบน เช่น ซีสต์รังไข่ ท่อนำไข่อักเสบ (PID) ซึ่งเสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยาก
- เชื้อรากลายพันธุ์ดื้อยา หากรักษาไม่ถูกวิธีหรือเป็นซ้ำบ่อย อาจต้องใช้ยากลุ่มพิเศษ
- ส่งผลต่อการตั้งครรภ์ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนดหรือทารกน้ำหนักน้อย
- ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ทำให้เกิดอาการคัน แสบร้อนซ้ำ กระทบกิจวัตรและความสัมพันธ์ทางเพศ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเชื้อราในช่องคลอด
Q1: เชื้อราในช่องคลอดติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่?
A: โดยทั่วไป ไม่จัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) แต่เชื้ออาจถูกส่งจากคู่รักได้ในบางกรณี หากยังไม่ได้รักษาหรือมีอาการซ้ำ แนะนำให้ตรวจทั้งคู่หากพบอาการผิดปกติร่วม
Q2: ใช้ผ้าอนามัยแบบสอดช่วยลดเชื้อราได้หรือไม่?
A: ไม่แนะนำ เพราะสารดูดซับความชื้นอาจทำให้สภาพแวดล้อมในช่องคลอดชื้นและเอื้อต่อการเจริญของเชื้อรา ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อย ๆ และใช้แบบที่ถ่ายเทอากาศได้ดี
Q3: สามารถมีเพศสัมพันธ์ตอนเป็นเชื้อราได้หรือไม่?
A: ไม่ควรแนะนำให้มีเพศสัมพันธ์ระหว่างมีอาการ เนื่องจากอาจเพิ่มการระคายเคืองและเสี่ยงต่อการติดใหม่ แนะนำให้รักษาหายก่อนแล้วจึงเริ่มมีเพศสัมพันธ์ใหม่
Q4: หญิงตั้งครรภ์สามารถใช้ยา OTC ได้หรือไม่?
A: ส่วนใหญ่แล้วยาครีมหรือ suppository เช่น clotrimazole และ nystatin ใช้ปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
Q5: ปวดคันแค่หยดเดียว ควรใช้ยาทันทีหรือรอสักครู่?
A: หากอาการไม่รุนแรง ลองดูแลตนเองก่อน เช่น สวมใส่เสื้อผ้าหลวม ใช้ผ้าโปร่ง และรักษาสุขอนามัย หากอาการยังไม่ดีขึ้นภายใน 3–5 วัน หรือมีอาการอื่นร่วม เช่น แสบร้อนหรือตกขาวผิดปกติ ให้พบแพทย์ทันที
สรุป
โรคเชื้อราในช่องคลอดเป็นภาวะที่พบได้บ่อย และมักเกิดจากความไม่สมดุลของจุลชีพในร่างกายมากกว่าการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แม้จะสามารถรักษาให้หายได้ แต่ในบางรายอาจกลับมาเป็นซ้ำบ่อย โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงหรือไม่ดูแลสุขอนามัยอย่างเหมาะสม
การวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่แรกเริ่ม การรู้จักสังเกตอาการของตนเอง และการดูแลหลังรักษาอย่างต่อเนื่อง ล้วนเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อรากลับมาเป็นซ้ำ และช่วยให้ผู้หญิงทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน
หากต้องการนัดหมายเข้ารับบริการหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติม
สามารถจองคิวผ่านเว็บไซต์ หรือ Inbox ทางช่องทาง Social Media ต่างๆ ได้ด้านล่างนี้