Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

เชื้อราในช่องคลอดคืออะไร ทำไมเป็นซ้ำ อันตรายไหม?

เชื้อราในช่องคลอดเป็นปัญหาสุขภาพที่ผู้หญิงส่วนใหญ่มักพบอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต แม้จะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้ อาการที่พบได้บ่อย เช่น คัน แสบร้อน และตกขาวผิดปกติ มักทำให้หลายคนกังวลและสับสนว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่

บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจเชื้อราในช่องคลอดอย่างครบถ้วน ตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีวินิจฉัย การรักษา และวิธีป้องกัน รวมถึงตอบคำถามยอดฮิตที่ผู้หญิงทุกคนควรรู้ไว้เพื่อดูแลสุขภาพของตนเองให้ดีที่สุด

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

เชื้อราในช่องคลอด คืออะไร?

เชื้อราในช่องคลอด หรือที่รู้จักกันในชื่อทางการแพทย์ว่า Vaginal Candidiasis หรือ Vulvovaginal Candidiasis เกิดจากการเจริญเติบโตมากเกินปกติของเชื้อราในกลุ่ม Candida ซึ่งปกติอาศัยอยู่ในช่องคลอดอย่างมีสมดุล

เมื่อสมดุลของแบคทีเรียดีในช่องคลอดถูกรบกวน เช่น จากการใช้ยาปฏิชีวนะ สภาพร่างกายเปลี่ยนแปลง หรือฮอร์โมน การเจริญของเชื้อ Candida จะเพิ่มขึ้น เกิดการอักเสบ แดง คัน และตกขาวสีขาวข้นคล้ายน้ำนมจับเป็นก้อน “cottage‑cheese

โรคนี้พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ (75% เคยเป็นอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต และ 40–45% เกิดซ้ำอย่างน้อยสองครั้ง)

ทำไมเชื้อราในช่องคลอดถึงกลับมาเป็นซ้ำซาก?

เชื้อราในช่องคลอดจะถือว่าเป็นแบบ Recurrent Vulvovaginal Candidiasis (RVVC) เมื่อมีอาการซ้ำอย่างน้อย 3 ครั้งใน 12 เดือน หรือ 4 ครั้งต่อปี

ถึงแม้จะได้รับการรักษาอาการหายแล้ว แต่ผู้หญิงราว 5–8% ของวัยเจริญพันธุ์จะมีภาวะเชื้อราซ้ำซาก

สาเหตุสำคัญของการกลับมาเป็นซ้ำ ได้แก่:

  1. เชื้อสาย Candida ดื้อยา เช่น non‑albicans species (C. glabrata หรือ C. tropicalis) ที่ตอบสนองต่อยา azole น้อยกว่า
  2. การรักษาไม่ครบขั้นตอน จากการใช้ยาทาไม่ต่อเนื่อง หรือหยุดยากลางคัน
  3. ปัจจัยเสี่ยงภายในร่างกาย เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะบ่อย, เกิดภาวะ hyperglycemia (เบาหวาน), หรือภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ
  4. พันธุกรรมความไวต่อเชื้อ เช่น การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันไม่เพียงพอ
  5. การติดเชื้อซ้ำจากคู่เพศสัมพันธ์ มีงานวิจัยพบว่าในบางกรณีเชื้อจากคู่สามารถส่งกลับสู่ผู้หญิงได้

อาการเบื้องต้นของเชื้อราในช่องคลอด

อาการของเชื้อราในช่องคลอดมีตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงปานกลาง บางรายอาจไม่แสดงอาการใดเลยโดยอาการทั่วไปที่พบได้บ่อย ได้แก่:

  • คันหรือระคายเคืองบริเวณช่องคลอดและฝีเย็บ อาการนี้อาจคันมากจนรู้สึกไม่สบาย โดยเฉพาะหลังจากใส่เสื้อผ้าที่คับ
  • ตกขาวสีขาวข้นคล้ายชีสโฮมเมด (“cottage‑cheese”) โดยมากไม่มีกลิ่นแรง
  • แสบร้อนขณะปัสสาวะหรือขณะมีเพศสัมพันธ์ เพราะเนื้อเยื่ออักเสบ
  • ปากช่องคลอดบวม แดง หรือมีรอยแตกร้าว กรณีอาการรุนแรงหรือซ้ำซาก

อาการที่ควรพบแพทย์ทันที:

  • อาการครั้งแรกที่เกิดขึ้นโดยไม่เคยเป็นมาก่อน
  • ยาทาที่ใช้แล้วอาการไม่ดีขึ้นภายใน 7–14 วัน
  • มีตกขาวผิดปกติร่วมกับกลิ่นแรงหรือสีผิดปกติ เช่น เหลือง เขียว
  • มีไข้ ปวดท้องส่วนล่าง หรือเจ็บรุนแรงควบคู่กับอาการ
  • มีอาการซ้ำหลายครั้งภายในปีเดียว

ความแตกต่างระหว่างเชื้อรา vs การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ และโรคช่องคลอดชนิดอื่น ๆ

โรคช่องคลอดอักเสบ (vaginitis) มีสาเหตุหลายแบบ โดยอาการอาจคล้ายกัน แต่อาการที่เกิดจากเชื้อรา, แบคทีเรียล วาไจโนซิส (BV = Bacterial Vaginosis) และทริโคโมไนเอซิส (Trichomoniasis) มีลักษณะต่างกันดังนี้:

1. เชื้อราในช่องคลอด (Yeast Infection / Candidiasis)

  • สาเหตุ: เชื้อรา Candida โดยเฉพาะ C.albicans
  • ตกขาว: ข้นเป็นก้อนสีขาวคล้ายชีส (“cottage‑cheese”), มักไม่มีกลิ่นแรง
  • อาการร่วม: คัน ระคายเคือง แสบร้อนขณะปัสสาวะหรือมีเพศสัมพันธ์ บางครั้งมีรอยแดงหรือบวมบริเวณช่องคลอด

2. Bacterial Vaginosis (BV)

  • สาเหตุ: แบคทีเรีย (เช่น Gardnerella vaginalis) เจริญเกินสมดุล ไม่ใช่เชื้อรา
  • ตกขาว: ลักษณะเหลว สีขาว/เทา/เหลือง กลิ่นเหมือนปลา โดยเฉพาะช่วงมีประจำเดือนหรือหลังมีเพศสัมพันธ์
  • อาการร่วม: คันเล็กน้อยหรือไม่คัน ไม่ค่อยมีรอยแดงบริเวณช่องคลอด

3. พยาธิในช่องคลอด หรือทริโคโมไนเอซิส (Trichomoniasis)

  • สาเหตุ: อสุจิพาราสิต Trichomonas vaginalis และจัดว่าเป็น STI เพราะติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • ตกขาว: ลักษณะเหลว สีเหลืองหรือเขียว กลิ่นแรง มักมีกลิ่นไม่พึงประสงค์
  • อาการร่วม: คัน รู้สึกแสบร้อน ปวดขณะปัสสาวะหรือมีเพศสัมพันธ์ ผิวช่องคลอดอักเสบอาจพบ cervical “สตรอว์เบอร์รี” (จุดแดงกระจาย)

สรุปเปรียบเทียบ

โรค/อาการ

ตกขาว

กลิ่น

การอักเสบ/คัน

สารต้นเหตุ/การรักษา

เชื้อรา

ข้น, ขาว, คล้ายชีส

ไม่มีหรือมีกลิ่นอ่อน

คันและแสบร้อนบ่อย

เชื้อรา Candida → ยา antifungal (OTC/แพทย์)

BV

เหลว, ขาว-เทา-เหลือง

กลิ่นปลารุนแรง

คันน้อยหรือไม่มี

แบคทีเรีย → ยาปฏิชีวนะ (metronidazole/clindamycin)

ทริโคโมไนเอซิส

เหลว, เหลือง/เขียว

กลิ่นแรง

คัน, แสบร้อน

พาราสิต → ยาปฏิชีวนะ (metronidazole/tinidazole)

การวินิจฉัยโรคเชื้อราในช่องคลอด

 การวินิจฉัยแบ่งเป็น 2 ขั้นตอนหลัก:

  1. ตรวจร่างกาย & สอบถามอาการ
    • แพทย์จะสอบประวัติ เช่น เคยเป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือใช้ยาปฏิชีวนะบ่อยหรือไม่
    • ทำการตรวจแบบอุ้งเชิงกราน (pelvic exam) เพื่อสังเกตความผิดปกติบริเวณปากช่องคลอดและตกขาว
  2. ตรวจทางห้องแลป (laboratory tests)
    • Wet prep / KOH smear: นำตกขาวมาผสมสารละลาย KOH ดูภายใต้กล้องจุลทรรศน์ เพื่อหาสปอร์เชื้อราและ pseudohyphae
    • วัดค่า pH ช่องคลอด: หากน้อยกว่า 4.5 จะสอดคล้องกับ VVC แต่ถ้าสูง อาจตัดโรคอื่นได้ เช่น BV หรือ Trichomoniasis
    • เพาะเชื้อ (culture) / PCR: ใช้ในกรณีที่อาการรุนแรง ซ้ำหลายครั้ง หรือสงสัยเชื้อดื้อยา โดยเฉพาะ non-albicans species เช่น C. glabrata

ข้อแนะนำ

  • ในกรณี เชื้อรากลับซ้ำ (3 ครั้งต่อปี) แนะนำให้ตรวจเพาะเชื้อและทดสอบความไวต่อยา เพื่อปรับแผนรักษาให้เหมาะสม
  • การตรวจวินิจฉัยด้วยวัฒนธรรมเชื้อรา (culture) ถือเป็น gold standard และ PCR ก็เริ่มใช้ในองค์การสุขภาพบางแห่ง

วิธีรักษาเชื้อราในช่องคลอด

การรักษาแบ่งหลักเป็น ยาใช้ภายนอก (OTC) และ ยารับประทานตามแพทย์ ตามอาการและความรุนแรงของโรค

1. ยาใช้ภายนอก (OTC – Topical Antifungals)

ใช้ได้ผลดีสำหรับอาการปกติไม่รุนแรง

  • Clotrimazole, Miconazole, Tioconazole, Terconazole, Nystatin มีรูปแบบครีมหรือเม็ดเสียบติดต่อกัน 1–7 วัน
  • ช่วยบรรเทาอาการคัน แสบร้อน และลดตกขาวได้ภายในไม่กี่วัน

2. ยารับประทาน (Oral Antifungals)

เหมาะกับอาการรุนแรงหรือเป็นบ่อย

  • Fluconazole (Diflucan)
    • ขนาด 150 มก. รับประทานครั้งเดียว สำหรับอาการไม่ซับซ้อน
    • กรณีอาการรุนแรง: 150 มก. ทุก 72 ชม. จำนวน 2–3 ครั้ง
    • กรณีเป็นซ้ำบ่อย: รับประทานต่อเนื่อง 10–14 วัน แล้วต่อด้วย 150 มก. สัปดาห์ละครั้งนาน 6 เดือน
  • Ibrexafungerp (Brexafemme)
    • ยากินกลุ่มใหม่ ไม่ใช่ azole รับประทานสองเม็ดในหนึ่งวัน เหมาะกับคนแพ้หรือดื้อยา azole
  • Oteseconazole (Vivjoa)
    • ใช้เฉพาะในกรณีเชื้อราซ้ำ วางยารับประทานเพื่อป้องกันซ้ำ ลดอาการกลับมาได้ชัดเจน

3. ยาเสริมกรณีพิเศษ

  • กรณี non-albicans (ดื้อยา): ใช้สารฆ่าเชื้อแบบ non-azole เช่น boric acid 600 มก. เสียบวันละครั้ง 14–21 วัน บ้างใช้เป็นการบำรุงระยะยาว
  • กรณีซีดเรื้อรัง: แพทย์อาจแนะนำ nystatin, flucytosine, หรือ amphotericin B cream ตามดุลยพินิจ

4. การรักษาพิเศษสำหรับตั้งครรภ์

  • ใช้ clotrimazole หรือ nystatin ในรูปครีมหรือเม็ดเสียบ 7–14 วัน เนื่องจากปลอดภัยกว่ายารับประทาน

ข้อควรระวัง

  • สำหรับ ผู้มีประวัติติดเชื้อซ้ำซาก ตามแนวทาง CDC ให้รักษาควบคุมอาการให้หาย แนะนำต่อด้วยยา weekly maintenance 6 เดือน
  • การใช้ยา OTC ควรปฏิบัติตามฉลาก หากอาการไม่ดีขึ้นใน 7–14 วัน หรือเป็นซ้ำให้พบแพทย์เพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติม

การดูแลหลังรักษาและการป้องกันเชื้อรากลับมาเป็นซ้ำ

หลังจากรักษาจนหายแล้ว ควรปฏิบัติตามแนวทางเพื่อรักษาสมดุลในช่องคลอดและลดโอกาสการเกิดซ้ำ:

  1. รักษาสุขอนามัยบริเวณช่องคลอ
    • ล้างด้วยน้ำเปล่าหรือผลิตภัณฑ์ที่ pH สมดุล (ไม่ใส่สารกันเสีย/น้ำหอม)
    • ซับส่วนที่เปียกเมื่อล้างหน้าให้แห้งสนิท
  2. เลือกใส่เสื้อผ้าหลวม ระบายอากาศดี
    • เลี่ยงกางเกงรัดรูป ถุงน่องแน่น หรือชุดชั้นในที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์
  3. เปลี่ยนชุดชั้นในและผ้าเช็ดตัวเป็นประจำ
    • เปลี่ยนเช้า–เย็น และหลีกเลี่ยงใช้ผ้าเช็ดตัวหรือชุดชั้นในร่วมกับผู้อื่น
  4. ควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางพฤติกรรม/สุขภาพ
    • หลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะเมื่อไม่จำเป็น
    • ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน
    • ลดการใช้อ่างแช่น้ำอุ่น และสระว่ายน้ำที่ไม่สะอาด
  5. รับประทานอาหารที่ส่งเสริมสมดุลเชื้อจุลชีพ
    • เพิ่มการรับประทานโยเกิร์ตที่มีจุลินทรีย์โปรไบโอติก เช่น Lactobacillus acidophilus
    • ลดอาหารหวานและแป้งขัดขาว เพื่อจำกัดการเติบโตของเชื้อรา
  6. ใช้ยาป้องกันเป็นประจำสำหรับผู้ที่เป็นซ้ำ
    • สำหรับผู้ที่มี Recurrent VVC ตามแนวทาง CDC: รับประทาน Fluconazole 150 มก. รายสัปดาห์ นาน 6 เดือน
    • สามารถใช้ Boric acid 600 มก. เสียบก่อนนอน 2–3 ครั้ง/สัปดาห์ ในกรณีดื้อยา non-albicans

เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์ทันที?

คุณควรรีบพบแพทย์ในกรณีเหล่านี้

  • อาการครั้งแรกที่ไม่เคยมีมาก่อน และไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร
  • อาการยังไม่ดีขึ้นหลังใช้ยา OTC 7–14 วัน
  • ตกขาวมีสีผิดปกติ (เหลือง/เขียว) หรือมีกลิ่นแรง
  • มีไข้ ปวดท้องส่วนล่าง หรือเจ็บรุนแรงร่วมกับอาการช่องคลอด
  • มีอาการซ้ำหลายครั้งใน 1 ปี
  • ตั้งครรภ์และมีอาการ หรือมีโรคประจำตัวที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

  • การติดเชื้อเพิ่มในอวัยวะสืบพันธุ์ส่วนบน เช่น ซีสต์รังไข่ ท่อนำไข่อักเสบ (PID) ซึ่งเสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยาก
  • เชื้อรากลายพันธุ์ดื้อยา หากรักษาไม่ถูกวิธีหรือเป็นซ้ำบ่อย อาจต้องใช้ยากลุ่มพิเศษ
  • ส่งผลต่อการตั้งครรภ์ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนดหรือทารกน้ำหนักน้อย
  • ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ทำให้เกิดอาการคัน แสบร้อนซ้ำ กระทบกิจวัตรและความสัมพันธ์ทางเพศ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเชื้อราในช่องคลอด

Q1: เชื้อราในช่องคลอดติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่?
A: โดยทั่วไป ไม่จัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) แต่เชื้ออาจถูกส่งจากคู่รักได้ในบางกรณี หากยังไม่ได้รักษาหรือมีอาการซ้ำ แนะนำให้ตรวจทั้งคู่หากพบอาการผิดปกติร่วม

Q2: ใช้ผ้าอนามัยแบบสอดช่วยลดเชื้อราได้หรือไม่?
A: ไม่แนะนำ เพราะสารดูดซับความชื้นอาจทำให้สภาพแวดล้อมในช่องคลอดชื้นและเอื้อต่อการเจริญของเชื้อรา ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อย ๆ และใช้แบบที่ถ่ายเทอากาศได้ดี

Q3: สามารถมีเพศสัมพันธ์ตอนเป็นเชื้อราได้หรือไม่?
A: ไม่ควรแนะนำให้มีเพศสัมพันธ์ระหว่างมีอาการ เนื่องจากอาจเพิ่มการระคายเคืองและเสี่ยงต่อการติดใหม่ แนะนำให้รักษาหายก่อนแล้วจึงเริ่มมีเพศสัมพันธ์ใหม่

Q4: หญิงตั้งครรภ์สามารถใช้ยา OTC ได้หรือไม่?
A: ส่วนใหญ่แล้วยาครีมหรือ suppository เช่น clotrimazole และ nystatin ใช้ปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ

Q5: ปวดคันแค่หยดเดียว ควรใช้ยาทันทีหรือรอสักครู่?
A: หากอาการไม่รุนแรง ลองดูแลตนเองก่อน เช่น สวมใส่เสื้อผ้าหลวม ใช้ผ้าโปร่ง และรักษาสุขอนามัย หากอาการยังไม่ดีขึ้นภายใน 3–5 วัน หรือมีอาการอื่นร่วม เช่น แสบร้อนหรือตกขาวผิดปกติ ให้พบแพทย์ทันที

สรุป

โรคเชื้อราในช่องคลอดเป็นภาวะที่พบได้บ่อย และมักเกิดจากความไม่สมดุลของจุลชีพในร่างกายมากกว่าการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แม้จะสามารถรักษาให้หายได้ แต่ในบางรายอาจกลับมาเป็นซ้ำบ่อย โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงหรือไม่ดูแลสุขอนามัยอย่างเหมาะสม

การวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่แรกเริ่ม การรู้จักสังเกตอาการของตนเอง และการดูแลหลังรักษาอย่างต่อเนื่อง ล้วนเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อรากลับมาเป็นซ้ำ และช่วยให้ผู้หญิงทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน

icon email