เอชไอวี (HIV) ยังคงเป็นโรคที่หลายคนเข้าใจผิดและมีอคติ แม้ในยุคที่การแพทย์ก้าวหน้าไปไกล ความจริงคือ ผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV สามารถมีชีวิตปกติ ทำงาน มีความรัก และมีครอบครัวได้เหมือนคนทั่วไป หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจ ตั้งแต่พื้นฐานของเชื้อ HIV, ความแตกต่างระหว่าง HIV กับ เอดส์, สาเหตุ อาการ วิธีการติดต่อ การวินิจฉัย และแนวทางการรักษาในปี 2025 รวมถึงข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับการมีลูก การเดินทาง และคุณภาพชีวิตของผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อ เพื่อสร้างความรู้ที่ถูกต้อง ลดความกลัว และเพิ่มโอกาสในการดูแลตนเองและคนรอบข้างอย่างมีสติ
เอชไอวี (HIV) หรือชื่อเต็มว่า Human Immunodeficiency Virus คือเชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ
เมื่อร่างกายติดเชื้อ HIV เซลล์ภูมิคุ้มกันเหล่านี้จะถูกทำลายลงเรื่อย ๆ จนทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแทรกซ้อนและโรคต่าง ๆ ได้ง่ายกว่าคนทั่วไปหลายเท่า เช่น วัณโรค ปอดอักเสบ เชื้อราในสมอง หรือมะเร็งบางชนิด
ปัจจุบัน HIV ไม่ได้ถือเป็น “โรคร้ายแรงที่ถึงแก่ชีวิตเสมอไป” หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง ผู้ติดเชื้อสามารถมีสุขภาพแข็งแรง ใช้ชีวิตได้ตามปกติ และไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้เลย (ในกรณีที่ปริมาณไวรัสต่ำจนตรวจไม่พบ – Undetectable)
หากไม่ได้รับการรักษา เชื้อ HIV จะทำลายภูมิคุ้มกันต่อเนื่องจนถึงจุดที่ร่างกายแทบไม่มีเซลล์เม็ดเลือดขาวเหลืออยู่ ภาวะนี้เรียกว่า เอดส์ (AIDS) หรือ ระยะท้ายของโรคเอชไอวี ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรงและเสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อนได้ง่าย
อ้างอิง: องค์การอนามัยโลก (WHO) – HIV and AIDS
แม้คำว่า “HIV” และ “AIDS” จะถูกใช้แทนกันบ่อยครั้ง แต่ทั้งสองคำนี้มีความหมายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน และมีความสำคัญต่อการวินิจฉัยและการรักษาโรค
HIV (Human Immunodeficiency Virus) คือชื่อของเชื้อไวรัสที่เข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์ CD4 หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ จนทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับโรคหรือการติดเชื้อต่าง ๆ ได้
AIDS (Acquired Immunodeficiency Syndrome) คือภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อผู้ติดเชื้อ HIV ไม่ได้รับการรักษาจนภูมิคุ้มกันลดต่ำมาก และเกิดการติดเชื้อแทรกซ้อนหรือโรคฉวยโอกาส เช่น ปอดอักเสบ วัณโรค หรือมะเร็งบางชนิด
AIDS จึงเป็น “ระยะท้าย” ของการติดเชื้อ HIV ไม่ใช่ชื่อของเชื้อไวรัสหรือโรคในตัวเอง
ประเด็น |
HIV |
AIDS |
---|---|---|
คืออะไร |
เชื้อไวรัสที่ทำลายภูมิคุ้มกัน |
กลุ่มอาการเมื่อภูมิคุ้มกันถูกทำลายจนต่ำ |
ตรวจพบเมื่อไร |
ตรวจพบได้ทันทีหลังติดเชื้อ (ตาม window period) |
ตรวจพบเมื่อมีโรคแทรกซ้อนหรือ CD4 ต่ำมาก |
รักษาได้ไหม |
ยังรักษาให้หายขาดไม่ได้ แต่ควบคุมได้ |
หากถึงขั้น AIDS แล้ว ยังรักษาให้กลับมาแข็งแรงได้ถ้าได้รับยา |
หากเริ่มรักษาตั้งแต่ตรวจพบ HIV จะสามารถป้องกันไม่ให้เข้าสู่ระยะ AIDS ได้เลย
อ่านเพิ่มเติม: “HIV vs AIDS ต่างกันอย่างไร”
เชื้อไวรัส HIV สามารถติดต่อจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนได้ผ่านของเหลวในร่างกายที่มีเชื้อไวรัสอยู่ในปริมาณสูง เช่น เลือด น้ำอสุจิ สารคัดหลั่งทางช่องคลอด และน้ำนมแม่ การติดเชื้อจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อของเหลวเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายผ่านเยื่อบุ ผิวหนังที่มีแผล หรือทางเส้นเลือดโดยตรง
ช่องทางการติดต่อ |
ตัวอย่าง |
---|---|
เพศสัมพันธ์ |
ไม่ใส่ถุงยางขณะมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือปาก |
เลือด |
ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น, รับเลือดที่ปนเปื้อน |
จากแม่สู่ลูก |
ระหว่างการตั้งครรภ์ การคลอด หรือการให้นมแม่ |
อุปกรณ์ที่ปนเลือด |
การสัก เจาะผิวหนัง หรือทำฟันด้วยอุปกรณ์ที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ |
HIV ไม่สามารถอยู่รอดภายนอกร่างกายได้นาน และไม่สามารถติดต่อผ่านผิวหนังที่ไม่มีแผลได้
การติดเชื้อ เอสไอวี (HIV) มักไม่แสดงอาการที่ชัดเจนในระยะแรก ทำให้หลายคนไม่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อ แต่เมื่อเวลาผ่านไป หากไม่ได้รับการรักษา อาการต่าง ๆ จะค่อย ๆ ปรากฏขึ้นตามลำดับระยะของโรค
อาการระยะนี้มักหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ และผู้ป่วยจะเข้าสู่ระยะไม่แสดงอาการ (แต่ยังสามารถแพร่เชื้อได้)
ระยะนี้มีความเสี่ยงเสียชีวิตสูง หากไม่เข้าสู่กระบวนการรักษา
ระยะของโรค |
ลักษณะอาการหลัก |
หมายเหตุ |
---|---|---|
ระยะเฉียบพลัน |
ไข้ หนาวสั่น ผื่น ปวดหัว อ่อนเพลีย |
คล้ายไข้หวัดใหญ่ หายได้เอง |
ระยะไม่แสดงอาการ |
ไม่มีอาการชัดเจน |
ยังแพร่เชื้อได้แม้ดูปกติ |
ระยะเอดส์ |
ติดเชื้อฉวยโอกาส น้ำหนักลด แผลเรื้อรัง |
ต้องเข้ารับการรักษาโดยด่วน |
โดยทั่วไป อาการของเชื้อ HIV จะมีลักษณะคล้ายกันทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย โดยไม่ขึ้นอยู่กับเพศ อายุ หรือเชื้อชาติ อาการที่เกิดขึ้นจะขึ้นกับระยะของโรค และการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันในแต่ละคนเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ยังมีลักษณะบางประการที่อาจแตกต่างกันเล็กน้อยระหว่างเพศ เนื่องจากสรีรวิทยาและฮอร์โมนที่ไม่เหมือนกัน
ลักษณะ |
ผู้หญิง |
ผู้ชาย |
---|---|---|
ความผิดปกติทางระบบสืบพันธุ์ |
– ประจำเดือนผิดปกติ – เชื้อราที่ช่องคลอด – มดลูกอักเสบ |
– ไม่มีอาการเฉพาะระบบเพศมากนัก |
ความถี่ของการพบ HPV |
พบร่วมกับ HIV ได้บ่อยกว่า |
พบน้อยกว่า |
การแสดงอาการทั่วไป |
อาจมีอาการไม่ชัดเจนหรือไม่มีเลยในช่วงแรก |
บางคนมีไข้หรืออ่อนเพลียตั้งแต่แรก |
หมายเหตุ: ความแตกต่างเหล่านี้ไม่สามารถใช้เป็นเกณฑ์ยืนยันการติดเชื้อ HIV ได้ จำเป็นต้องตรวจเลือดเพื่อยืนยันผลเท่านั้น
HIV (Human Immunodeficiency Virus) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า “ไวรัสเอชไอวี” ซึ่งมีคุณสมบัติในการเข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4
HIV ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในร่างกาย แต่เกิดจากการ ได้รับเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายผ่านของเหลวที่มีเชื้ออยู่ในปริมาณสูง โดยเฉพาะ:
พฤติกรรม/สถานการณ์ |
คำอธิบาย |
---|---|
การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน |
ไม่ใส่ถุงยางขณะมีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะทางทวารหนักหรือช่องคลอด |
ใช้เข็มหรือของมีคมร่วมกัน |
เช่น เข็มฉีดยา, เข็มสัก, เครื่องมือเจาะร่างกาย |
ได้รับเลือดหรืออวัยวะที่มีเชื้อ |
แม้พบได้น้อยมากในยุคปัจจุบัน (เนื่องจากมีการคัดกรองแล้ว) |
การติดจากแม่สู่ลูก |
เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ คลอด หรือให้นม |
HIV ไม่สามารถเกิดจากพฤติกรรมทั่วไป เช่น กอด จับมือ กินข้าวร่วมกัน หรือถูกยุงกัด
เมื่อเข้าใจที่มาของการติดเชื้อ การป้องกันก็สามารถทำได้ เช่น
แม้ HIV และซิฟิลิสจะเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อต่างชนิดกัน แต่มีความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในแง่ของการแพร่เชื้อและการติดเชื้อร่วม (co-infection) เพราะทั้งสองโรคติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์เป็นหลัก
ปัจจุบันคลินิกที่ให้บริการตรวจสุขภาพทางเพศส่วนใหญ่จะแนะนำให้ “ตรวจพ HIV และซิฟิลิส พร้อมกัน” โดยเฉพาะหากมีอาการหรือเสี่ยงสูง
การเลือกวิธีตรวจ HIV ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับ “ระยะเวลาหลังเสี่ยง” และ “ความต้องการผลที่แม่นยำรวดเร็ว” ปัจจุบันมีหลายวิธีที่ใช้ตรวจหาเชื้อ HIV ได้ โดยแต่ละวิธีมีข้อดี ข้อจำกัด และช่วงเวลาที่เหมาะสมต่างกัน
วิธีตรวจ |
ตรวจหาอะไร |
เริ่มตรวจได้เมื่อไร |
ความแม่นยำ |
ระยะรอผล |
หมายเหตุ |
---|---|---|---|---|---|
Rapid Test |
แอนติบอดี |
≥ 21 วัน |
ปานกลาง |
15–30 นาที |
ใช้ในคลินิกหรือที่บ้าน |
EIA/ELISA |
แอนติบอดี |
≥ 3–4 สัปดาห์ |
สูง |
1–3 วัน |
มาตรฐานทั่วไป |
Combo (4th Gen) |
แอนติบอดี + p24 Antigen |
≥ 14-21 วัน |
สูงมาก |
1–3 วัน |
ตรวจเร็ว แม่นยำดี |
NAT |
RNA ของไวรัสโดยตรง |
≥ 10 วัน |
สูงที่สุด |
2–7 วัน |
ใช้ในเคสเสี่ยงสูงหรือไม่แน่ใจ |
ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกวิธีตรวจที่เหมาะกับสถานการณ์ของคุณ
หลังจากที่ร่างกายได้รับเชื้อ HIV แล้ว จะมีช่วงเวลาหนึ่งที่เชื้อยังไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยวิธีมาตรฐาน ช่วงเวลานี้เรียกว่า “Window Period” หรือ ระยะฟักตัวของเชื้อก่อนตรวจเจอ
คือช่วงเวลาระหว่าง “วันเสี่ยงติดเชื้อ” จนถึงวันที่สามารถตรวจพบเชื้อ HIV ได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ หากตรวจเร็วเกินไป อาจได้ผลลบลวง (false negative) แม้จะมีเชื้ออยู่จริง
วิธีตรวจ HIV |
ตรวจเจอเร็วสุดเมื่อไร |
ความแม่นยำในช่วงแรก |
หมายเหตุ |
---|---|---|---|
NAT (RNA ตรวจไวรัส) |
7–10 วัน |
สูงมาก |
ตรวจหาเชื้อไวรัสโดยตรง |
Combo (แอนติบอดี + p24) |
14-21 วันขึ้นไป |
สูงมาก |
ตรวจทั้งเชื้อและภูมิคุ้มกัน |
Anti-HIV (EIA, ELISA) |
21–28 วันขึ้นไป |
สูง |
ตรวจภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้าง |
Rapid Test |
3 สัปดาห์ขึ้นไป |
ปานกลาง |
ควรตรวจซ้ำหลัง 1 เดือนขึ้นไป |
การรอให้พ้น Window Period จึงสำคัญมาก เพื่อให้ผลตรวจแม่นยำที่สุด
ในการดูแลผู้ติดเชื้อ HIV อย่างต่อเนื่อง แพทย์จะใช้การตรวจ “CD4” และ “Viral Load” เป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินสุขภาพและประสิทธิภาพของการรักษา
CD4 คือชนิดของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีบทบาทสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกัน ร่างกายที่แข็งแรงจะมี CD4 ในระดับที่สูง หากติดเชื้อ HIV เซลล์ชนิดนี้จะถูกทำลายลงเรื่อย ๆ
Viral Load คือปริมาณของเชื้อ HIV ที่ตรวจพบในเลือด (หน่วย: copies/mL) ยิ่งค่านี้ต่ำแสดงว่าการรักษาด้วยยาต้านไวรัสได้ผลดี
ประเภทการตรวจ |
ตรวจดูอะไร |
ใช้เมื่อไร |
ความหมายต่อการรักษา |
---|---|---|---|
CD4 Count |
ความแข็งแรงของภูมิคุ้มกัน |
ทุก 3–6 เดือน |
ต่ำ → เสี่ยงติดเชื้อแทรกซ้อน |
Viral Load |
ปริมาณไวรัสในเลือด |
ก่อนเริ่มยา + ทุก 3–6 เดือน |
ต่ำ → ควบคุมโรคได้ดี ไม่แพร่เชื้อ |
ทั้งสองค่าควรใช้ร่วมกันในการประเมินสุขภาพผู้ติดเชื้ออย่างครอบคลุม
หากคุณเพิ่งตรวจพบเชื้อ HIV หรือสงสัยว่าตนเองอาจติดเชื้อ การเข้ารับคำปรึกษาและวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสมตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้คุณสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติในระยะยาว และลดโอกาสการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Bangkok Safe Clinic ให้บริการดูแลผู้มีเชื้อ HIV แบบครบวงจร ตั้งแต่ตรวจวินิจฉัย วางแผนการรักษา จ่ายยา ไปจนถึงติดตามผลต่อเนื่อง โดยมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูแลอย่างใกล้ชิด
ทุกขั้นตอนเน้นความเป็นส่วนตัว ปลอดภัย และรักษาข้อมูลของผู้รับบริการอย่างเคร่งครัด
ยาต้านไวรัส HIV (Antiretroviral Therapy: ART) คือวิธีหลักที่ใช้รักษาผู้ติดเชื้อ HIV โดยจะช่วยลดปริมาณไวรัสในร่างกายจนถึงระดับที่ตรวจไม่พบ และป้องกันไม่ให้ระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลาย
ปัจจุบันมียาหลายชนิด และหลายสูตรที่ใช้รักษา HIV โดยทั่วไปแพทย์จะเลือก สูตรยารวมเม็ดเดียว (Single Tablet Regimen) ที่ปลอดภัย ใช้สะดวก และผลข้างเคียงน้อยที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
กลุ่มยา |
กลไกการออกฤทธิ์ |
ตัวอย่างยา |
---|---|---|
NRTIs |
ยับยั้งการจำลองพันธุกรรมของเชื้อ HIV |
Tenofovir, Emtricitabine |
NNRTIs |
ขัดขวางเอนไซม์ reverse transcriptase |
Efavirenz, Doravirine |
INSTIs |
ขัดขวางเอนไซม์ integrase → ป้องกันไวรัสแทรกตัวใน DNA |
Dolutegravir, Bictegravir |
PIs |
ยับยั้งการสร้างโปรตีนไวรัส |
Lopinavir, Darunavir |
Boosters (เสริมฤทธิ์ยา) |
เพิ่มระดับยาในเลือด |
Ritonavir, Cobicistat |
ปัจจุบันนิยมใช้สูตรผสมระหว่าง INSTIs + NRTIs เป็นหลัก เพราะออกฤทธิ์แรง ปลอดภัยสูง และทานง่าย
ชื่อการค้า (แบรนด์) |
ส่วนผสมสำคัญ |
จุดเด่น |
---|---|---|
TLD (Tenofovir + Lamivudine + Dolutegravir) |
ยาหลักของโครงการภาครัฐในไทย |
ราคาประหยัด ผลข้างเคียงต่ำ |
Biktarvy |
Bictegravir + FTC + TAF |
ใช้ในระบบเอกชน, ไม่มี booster |
Genvoya |
Elvitegravir + Cobi + FTC + TAF |
ครบสูตรในเม็ดเดียว |
Symtuza |
Darunavir-based regimen + booster |
เหมาะกับผู้ดื้อยาหรือไวรัสแรง |
ประเภทยา |
ใช้เมื่อไร |
สำหรับใคร |
---|---|---|
ART (ยาต้าน) |
ผู้ติดเชื้อ HIV |
เพื่อควบคุมเชื้อในร่างกาย |
PrEP |
ก่อนเสี่ยง |
ป้องกันคนที่ยังไม่ติดเชื้อ |
PEP |
หลังเสี่ยงทันที |
ใช้ภายใน 72 ชม. หลังสัมผัส |
ยาทุกชนิดต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อนใช้ เพื่อให้เหมาะกับสุขภาพแต่ละคน
ทั้ง PrEP และ PEP คือยาต้านไวรัส HIV ที่ใช้สำหรับ “ป้องกัน” การติดเชื้อในคนที่ยังไม่มีเชื้อ แต่ต่างกันที่ เวลาในการใช้ และ สถานการณ์ความเสี่ยง
หัวข้อ |
PrEP (ก่อนเสี่ยง) |
PEP (หลังเสี่ยง) |
---|---|---|
ใช้เมื่อไร |
ก่อนมีเพศสัมพันธ์หรือพฤติกรรมเสี่ยง |
หลังเกิดเหตุการณ์เสี่ยงทันที (≤ 72 ชม.) |
ระยะเวลาใช้ยา |
ทุกวัน / ตามสูตร On-Demand |
28 วันต่อเนื่อง |
เหมาะกับใคร |
ผู้มีความเสี่ยงเป็นประจำ |
ผู้มีเหตุการณ์เสี่ยงแบบฉุกเฉิน |
ประสิทธิภาพ |
สูงถึง 99% หากใช้ถูกต้องและสม่ำเสมอ |
สูงถ้าเริ่มเร็วและไม่ลืมยา |
ต้องตรวจเลือด? |
ก่อนเริ่ม และทุก 3 เดือน |
ตอนเริ่มและหลังครบ 28 วัน |
ทั้ง PrEP และ PEP ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น และไม่สามารถแทนกันได้
อ่านเพิ่มเติม: PrEP และ PEP ต่างกันอย่างไร
คำตอบคือ “ป้องกันได้” อย่างมีประสิทธิภาพ หากเลือกใช้วิธีที่เหมาะสมและทำอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านพฤติกรรมและการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์
การป้องกัน HIV ที่ดีไม่ใช่แค่ “หลีกเลี่ยงเพศสัมพันธ์” แต่คือการ “เลือกวิธีป้องกันที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง” และปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ
วิธีป้องกัน |
จุดเด่น |
เหมาะกับใคร |
---|---|---|
✅ ใช้ถุงยางอนามัย |
ป้องกันได้ทั้ง HIV และโรคอื่น |
ทุกเพศ ทุกกลุ่ม ใช้ได้ทุกครั้ง |
✅ PrEP |
ยากินป้องกัน HIV ก่อนเสี่ยง |
คนที่มีความเสี่ยงสูงเป็นประจำ |
✅ PEP |
ยากินฉุกเฉินภายใน 72 ชม. หลังเสี่ยง |
คนที่เพิ่งมีเหตุการณ์เสี่ยงกะทันหัน |
✅ ตรวจสุขภาพทางเพศประจำ |
รู้สถานะเร็ว รักษาไว ป้องกันการแพร่เชื้อ |
ผู้มีคู่นอนใหม่ หรือเปลี่ยนคู่อยู่บ่อย ๆ |
✅ ความสัมพันธ์ที่เปิดเผย |
การรู้สถานะ HIV ของกันและกัน |
คู่รักที่วางแผนระยะยาว |
⚠️ งดใช้เข็มร่วมกัน |
ป้องกันการติดจากเลือดโดยตรง |
ผู้ใช้สารเสพติด/ช่างสัก/บุคลากรแพทย์ |
การใช้วิธีเหล่านี้ “แทน” PrEP/PEP หรือถุงยาง ไม่สามารถป้องกัน HIV ได้จริง
การตรวจหาเชื้อ HIV อย่างต่อเนื่องไม่ใช่แค่เพื่อ “เช็คว่าเรามีเชื้อหรือไม่” แต่คือ การดูแลตัวเองและปกป้องคนรอบข้างอย่างมีความรับผิดชอบ โดยเฉพาะในยุคที่การตรวจง่ายขึ้น ปลอดภัย และรู้ผลเร็ว
กลุ่มเสี่ยง/พฤติกรรม |
ควรตรวจบ่อยแค่ไหน |
---|---|
มีคู่นอนหลายคน |
ทุก 3 เดือน |
ใช้ PrEP หรือมีเพศสัมพันธ์ไม่ป้องกัน |
ทุก 3 เดือน |
มีคู่นอนใหม่/ไม่ทราบสถานะ |
ทันทีหลังเสี่ยง + ซ้ำใน 1–3 เดือน |
คู่สมรสหรือความสัมพันธ์ระยะยาว |
ปีละ 1–2 ครั้ง |
ไม่เคยตรวจมาก่อนเลย |
ควรตรวจครั้งแรกโดยเร็ว |
ในปัจจุบัน (ปี 2025) HIV ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในผู้ป่วยทั่วไป แต่สามารถควบคุมได้จนอยู่ในระดับ “ตรวจไม่พบ” และไม่แพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้เลย (แนวคิด U=U: Undetectable = Untransmittable)
ประเภท |
ความหมาย |
ความจริงในปัจจุบัน |
---|---|---|
หายขาด (Cure) |
ไม่มีเชื้อ HIV หลงเหลืออยู่ในร่างกายอีก |
ยังทำไม่ได้ในผู้ป่วยทั่วไป |
ควบคุมโรคได้ |
เชื้อยังมีอยู่ แต่ไม่เพิ่มจำนวน ไม่แพร่เชื้อ |
ทำได้ด้วย ART หากใช้ต่อเนื่องทุกวัน |
ใช่ มีเพียงไม่กี่รายในโลกที่สามารถ “หายขาดจริง” ซึ่งเกิดจาก การปลูกถ่ายไขกระดูก เพื่อรักษามะเร็งร่วมกับ HIV ได้แก่:
แต่การรักษาแบบนี้ ซับซ้อน มีความเสี่ยงสูง และไม่เหมาะกับผู้ป่วยทั่วไป
งานวิจัยที่กำลังดำเนินอยู่:
แม้ยังอยู่ในระยะทดสอบ แต่อนาคตมีความหวังสูงมาก
คำตอบคือ “ได้” และสามารถมีลูกที่ “ไม่ติดเชื้อ” ได้เช่นกัน หากวางแผนร่วมกับแพทย์และใช้วิธีทางการแพทย์อย่างเหมาะสม
โดยทั่วไป หาก ไม่ได้รักษา ความเสี่ยงของการถ่ายทอดเชื้อ HIV จากแม่ไปยังลูกอยู่ที่ประมาณ 15–45%
แต่ถ้า ได้รับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ ระหว่างตั้งครรภ์ จนถึงคลอดและหลังคลอด ความเสี่ยงจะลดลงเหลือ น้อยกว่า 1%
วิธี |
ใช้เมื่อไร |
---|---|
ART สำหรับผู้ติดเชื้อ |
ก่อนและระหว่างการตั้งครรภ์ |
PrEP สำหรับคู่ที่ไม่ติด |
ก่อนมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีถุงยาง |
คลอดแบบผ่าตัด |
หาก Viral Load ยังไม่ Undetectable |
หลีกเลี่ยงนมแม่ |
ป้องกันการถ่ายทอดเชื้อหลังคลอด |
โดยทั่วไปแล้ว: เดินทางได้ และไม่มีปัญหาหากคุณมีสุขภาพดี รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และไม่ละเมิดกฎหมายของประเทศปลายทาง
อย่างไรก็ตาม บางประเทศ มีข้อจำกัดหรือเงื่อนไข สำหรับผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV โดยเฉพาะกรณีต่อวีซ่าระยะยาว ทำงาน หรือขอย้ายถิ่นฐาน
ประเทศ |
นโยบายเกี่ยวกับผู้มีเชื้อ HIV |
---|---|
สหรัฐอเมริกา |
✅ เข้าได้ทุกประเภท ไม่มีข้อจำกัด |
ญี่ปุ่น |
✅ เข้าระยะสั้นได้ ปกติ ไม่ตรวจ HIV |
จีน |
✅ เข้าได้ แต่บางกรณีทำวีซ่าระยะยาวต้องแจ้ง |
ออสเตรเลีย |
⚠️ ต้องตรวจ HIV หากขอวีซ่าถาวร |
สิงคโปร์ |
❌ ไม่อนุญาตทำงานหากมีเชื้อ HIV |
รัสเซีย |
❌ ห้ามผู้มีเชื้อ HIV พำนักระยะยาว |
ไทย |
✅ ไม่ตรวจ HIV ตอนยื่นวีซ่าหรือเข้าเมือง |
โปรดตรวจสอบสถานทูตหรือเว็บไซต์ตรวจคนเข้าเมืองของแต่ละประเทศก่อนเดินทางทุกครั้ง
การมีเชื้อ HIV ไม่ใช่จุดจบของชีวิต ปัจจุบันคนที่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง สามารถมีอายุยืนเท่าคนทั่วไป มีครอบครัว มีความรัก ทำงานได้ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
หัวใจสำคัญอยู่ที่ “การดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ” ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และการใช้ชีวิตในสังคม
ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการชัดเจนในช่วง 2–4 สัปดาห์แรก บางรายอาจมีไข้ อ่อนเพลีย หรือต่อมน้ำเหลืองโต คล้ายเป็นหวัด หลังจากนั้น HIV จะเข้าสู่ระยะเงียบ (latency) โดยไม่แสดงอาการใด ๆ เป็นเวลาหลายปี
HIV ไม่ติดต่อ ผ่านการสัมผัสทั่วไป น้ำลาย น้ำตา การใช้ช้อน แก้ว ผ้าเช็ดตัวร่วมกัน
หากได้รับการรักษาด้วย ART อย่างต่อเนื่อง จะสามารถชะลอหรือหยุดไม่ให้เข้าสู่ระยะเอดส์ได้
ยังไม่ได้ในผู้ป่วยทั่วไป แต่สามารถควบคุมเชื้อให้ตรวจไม่พบได้ (Undetectable) ด้วยการกินยาต้านไวรัสทุกวัน → ไม่แพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ (U=U) และมีอายุยืนเท่าคนปกติ
Rapid test ให้ผลเบื้องต้นใน 15 นาที / Lab test ให้ผลแม่นยำกว่า โดยเฉพาะตรวจ Viral Load และ CD4
แนะนำให้ใช้ถุงยางร่วมด้วย เพราะ PrEP ป้องกันได้เฉพาะ HIV แต่ไม่ป้องกันโรคติดต่อทางเพศอื่น เช่น ซิฟิลิส หนองใน HPV ฯลฯ
ไม่อันตรายเลย สามารถใช้ชีวิต ทำงาน รับประทานอาหาร หรือสัมผัสร่วมกันได้ตามปกติ หากไม่ได้มีพฤติกรรมเสี่ยง (เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือใช้เข็มร่วมกัน)
ได้ หากวางแผนร่วมกับแพทย์ ผู้มีเชื้อที่ได้รับ ART อย่างต่อเนื่องสามารถมีลูกได้โดยไม่ถ่ายทอดเชื้อไปยังลูกหรือคู่ครอง
เดินทางได้ในเกือบทุกประเทศ ยกเว้นบางประเทศที่จำกัดเฉพาะกรณีวีซ่าระยะยาว (เช่น รัสเซีย สิงคโปร์ ฯลฯ) ควรตรวจสอบข้อกำหนดจากสถานทูตก่อนเดินทาง
การมีเชื้อ HIV ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิตอีกต่อไป หากได้รับการตรวจเร็ว รักษาเร็ว และดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอ ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ มีความสัมพันธ์ ป้องกันการแพร่เชื้อ และมีสุขภาพแข็งแรงได้เท่ากับคนทั่วไป
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความเข้าใจที่ถูกต้อง และการเข้าถึงการรักษาอย่างต่อเนื่อง หากคุณหรือคนใกล้ตัวอยู่ในกลุ่มเสี่ยง อย่ารอช้า — การตรวจคือจุดเริ่มต้นของการดูแลอย่างแท้จริง
หากต้องการนัดหมายเข้ารับบริการหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติม
สามารถจองคิวผ่านเว็บไซต์ หรือ Inbox ทางช่องทาง Social Media ต่างๆ ได้ด้านล่างนี้