Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

โรคคลามายเดีย (หนองในเทียม) คืออะไร? อาการ สาเหตุ การรักษาและป้องกัน

โรคคลามายเดีย (หนองในเทียม) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Disease หรือ STD) ที่พบบ่อยและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุน้อย

โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Chlamydia trachomatis ซึ่งสามารถแพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน และผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ มักไม่แสดงอาการ ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อและอาจแพร่เชื้อต่อไปโดยไม่ตั้งใจ

การรู้เท่าทันอาการ วิธีตรวจ การรักษา และการป้องกันโรคคลามายเดียจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อสุขภาพและการแพร่กระจายของโรคในสังคม

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

โรคคลามายเดีย (หนองในเทียม) คืออะไร?

โรคคลามายเดีย หรือที่คนไทยบางส่วนเรียกว่า หนองในเทียม (ภาษาอังกฤษ: Chlamydia) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Disease หรือ STD) ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Chlamydia trachomatis

โรคนี้มีลักษณะสำคัญคือ ผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ไม่มีอาการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ในระยะแรก แต่ยังสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้โดยไม่รู้ตัว

โรคคลามายเดียจัดอยู่ในกลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD)

โรคคลามายเดียเป็นหนึ่งในกลุ่ม โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่พบบ่อยที่สุดทั่วโลก และมีอัตราการติดเชื้อสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุน้อย

องค์การอนามัยโลก (WHO) ประเมินว่า ทุกวันมีผู้ติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากกว่าหนึ่งล้านคนทั่วโลก โดย Chlamydia เป็นหนึ่งในโรคที่พบได้บ่อยที่สุด

ข้อควรรู้เกี่ยวกับโรคคลามายเดีย

  • เป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยยาปฏิชีวนะ
  • ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว เพราะไม่แสดงอาการในระยะแรก
  • หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพในระยะยาว
  • โรคนี้สามารถติดต่อได้ทุกเพศ ทุกวัย

สาเหตุของโรคคลามายเดียเกิดจากอะไร?

โรคคลามายเดีย (Chlamydia) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Chlamydia trachomatis ซึ่งเป็นเชื้อที่พบได้เฉพาะในมนุษย์เท่านั้น เชื้อแบคทีเรียนี้จะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อบุผิวบางๆ เช่น อวัยวะเพศ ช่องปาก ทวารหนัก หรือเยื่อบุตา

การแพร่กระจายของเชื้อคลามายเดีย

เชื้อ Chlamydia trachomatis สามารถแพร่กระจายจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งผ่านการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ โดยวิธีการแพร่กระจายหลัก ได้แก่:

  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทางทวารหนัก หรือทางช่องปาก
  • การสัมผัสกับน้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่น หรือสารคัดหลั่งในช่องคลอดที่มีเชื้อ
  • การใช้ของเล่นทางเพศ (Sex Toy) ร่วมกันโดยไม่มีการทำความสะอาดหรือใช้ถุงยางอนามัยหุ้ม
  • การถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูกระหว่างการคลอดทางช่องคลอด

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ติดเชื้อคลามายเดียได้ง่ายขึ้น

  • มีคู่นอนหลายคน หรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
  • ไม่ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • มีประวัติเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาก่อน
  • อยู่ในช่วงอายุ 15-24 ปี
  • หญิงตั้งครรภ์ที่ไม่ได้รับการตรวจคัดกรอง

คลามายเดีย: โรคที่ติดได้แม้ไม่มีอาการ

สิ่งที่ทำให้โรคนี้แพร่กระจายได้ง่ายคือ ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวว่าตนเองมีเชื้อ เนื่องจากเชื้ออาจไม่แสดงอาการชัดเจน แต่ยังสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้โดยไม่รู้ตัว

โรคคลามายเดียติดเชื้อบริเวณไหนได้บ้าง?

โรคคลามายเดีย (Chlamydia) เป็นการติดเชื้อที่เกิดขึ้นกับ เซลล์เยื่อบุผิว ซึ่งเป็นเซลล์ที่บุอยู่ตามผิวด้านในของอวัยวะต่างๆ โดยสามารถติดเชื้อได้ในหลายตำแหน่งของร่างกาย ไม่ได้จำกัดเฉพาะอวัยวะสืบพันธุ์เท่านั้น

บริเวณที่เชื้อคลามายเดียสามารถติดเชื้อได้

  • อวัยวะเพศชาย เช่น องคชาติ ท่อปัสสาวะ
  • อวัยวะเพศหญิง เช่น ช่องคลอด ปากมดลูก
  • ทวารหนัก (Rectum)
  • ลำคอ (Throat)
  • เยื่อบุตา (Conjunctiva): เชื้อสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อที่ตาได้ โดยเฉพาะในทารกที่คลอดผ่านช่องคลอดของแม่ที่มีเชื้อ

คลามายเดีย: การติดเชื้อที่ไม่ได้มีแค่ “จุดเดียว”

เชื้อ Chlamydia trachomatis ไม่ได้จำกัดการติดเชื้อเฉพาะอวัยวะเพศเท่านั้น แต่สามารถลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียงได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม เช่น:

  • จากช่องคลอด → ทวารหนัก
  • จากทวารหนัก → ช่องคลอด

ในบางกรณี การใช้ของเล่นทางเพศร่วมกันโดยไม่ทำความสะอาดก็สามารถทำให้เชื้อแพร่กระจายจากอวัยวะหนึ่งไปสู่อีกอวัยวะหนึ่งได้

โรคคลามายเดียในดวงตา (Chlamydial Conjunctivitis)

ทารกที่เกิดจากแม่ที่มีเชื้อคลามายเดีย มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ เยื่อบุตา ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดภาวะตาบอดได้

อาการของโรคคลามายเดียในผู้หญิงและผู้ชายต่างกันอย่างไร?

โรคคลามายเดีย (หนองในเทียม) เป็นโรคที่มีลักษณะสำคัญคือ ผู้ติดเชื้อจำนวนมากไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่ยังคงสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อเชื้อเริ่มก่อให้เกิดอาการ อาการของโรคนี้จะมีความแตกต่างกันระหว่างเพศหญิงและเพศชาย

อาการของโรคคลามายเดียในผู้หญิง

  • มีตกขาวผิดปกติ ลักษณะสีขุ่นหรือมีกลิ่น
  • มีเลือดออกกระปริบกระปรอยระหว่างรอบเดือน หรือหลังมีเพศสัมพันธ์
  • ปัสสาวะแสบขัด
  • รู้สึกเจ็บหรือไม่สบายขณะมีเพศสัมพันธ์
  • ปวดท้องน้อย หรือปวดอุ้งเชิงกราน
  • หากไม่ได้รับการรักษา อาจเสี่ยงต่อการเกิด อุ้งเชิงกรานอักเสบ และ ภาวะมีบุตรยาก

อาการของโรคคลามายเดียในผู้ชาย

  • มีน้ำใสหรือขุ่นไหลออกจากปลายท่อปัสสาวะ
  • ปัสสาวะแสบขัด
  • เจ็บหรือบวมบริเวณอัณฑะ
  • อาจมีอาการปวดท้องน้อยหรือปวดขาหนีบ

อาการที่อาจเกิดขึ้นในทั้งผู้หญิงและผู้ชาย

  • อาการเจ็บหรือแสบที่ทวารหนัก
  • มีมูกหรือเลือดออกจากทวารหนัก
  • เจ็บคอ (ในกรณีติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก)
  • อาการตาแดงหรือตาอักเสบ (หากเชื้อเข้าสู่เยื่อบุตา)

โรคคลามายเดียมีอันตรายหรือไม่?

แม้ว่าโรคคลามายเดีย (Chlamydia) จะสามารถรักษาให้หายได้หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง แต่หากปล่อยไว้นานโดยไม่รู้ตัวหรือไม่รักษาอย่างเหมาะสม โรคนี้อาจก่อให้เกิดผลกระทบและภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

อันตรายของโรคคลามายเดียในผู้หญิง

  • เสี่ยงเกิด อุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease – PID)
  • มีความเสี่ยงสูงต่อ ภาวะมีบุตรยาก
  • เสี่ยงตั้งครรภ์นอกมดลูก (Ectopic Pregnancy)
  • อาจทำให้เกิดการเจ็บปวดเรื้อรังในอุ้งเชิงกราน

อันตรายของโรคคลามายเดียในผู้ชาย

  • การอักเสบของท่อนำอสุจิ (Epididymitis)
  • ปวดอัณฑะ บวมแดง
  • เสี่ยงภาวะมีบุตรยากจากการอุดตันของท่ออสุจิ
  • อาจมีอาการอักเสบของข้อต่อ (Reactive Arthritis)

อันตรายร่วมที่อาจเกิดขึ้นในทุกเพศ

  • อาการอักเสบของเยื่อบุตา (Chlamydial Conjunctivitis)
  • การติดเชื้อที่ทวารหนักและลำคอ
  • ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) เพิ่มขึ้นหากมีเชื้อคลามายเดียร่วมด้วย

ความอันตรายที่มองไม่เห็น: ไม่มีอาการ ไม่ได้แปลว่าไม่อันตราย

  • ผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ไม่มีอาการ ทำให้ไม่ได้รับการรักษา
  • เชื้อสามารถลุกลามจนก่อให้เกิดผลเสียระยะยาวแม้ไม่รู้ตัว

วิธีวินิจฉัยโรคคลามายเดียทำอย่างไร? เจ็บไหม?

การวินิจฉัยโรคคลามายเดีย (Chlamydia) เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนและการแพร่กระจายของเชื้อ โดยปัจจุบันมีวิธีการตรวจที่รวดเร็ว แม่นยำ และไม่ทำให้รู้สึกเจ็บปวด

วิธีการตรวจโรคคลามายเดียในปัจจุบัน

  • การตรวจปัสสาวะ (Urine Test): การเก็บตัวอย่างปัสสาวะเพื่อหาสารพันธุกรรมของเชื้อ เหมาะสำหรับผู้ชายและผู้หญิงที่ไม่ต้องการตรวจด้วยวิธีสว๊อบ
  • การเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่ง (Swab Test): แพทย์จะใช้ก้านสว๊อบเล็กๆ เก็บตัวอย่างจากปากมดลูก ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ หรือทวารหนัก ตามตำแหน่งที่สงสัยว่าติดเชื้อ
  • การตรวจด้วย NAAT (Nucleic Acid Amplification Test): เป็นการตรวจระดับสารพันธุกรรมของเชื้อที่ให้ความแม่นยำสูง เป็นมาตรฐานที่แนะนำโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) และ CDC

วิธีการเลือกตรวจแบบไหนดี?

  • ผู้หญิง: มัเลือกใช้การเก็บสารคัดหลั่งจากปากมดลูกหรือปัสสาวะ
  • ผู้ชาย: มักใช้การตรวจปัสสาวะหรือเก็บสารคัดหลั่งจากท่อปัสสาวะ
  • กรณีเสี่ยงติดที่ทวารหนักหรือลำคอ: ต้องสว๊อบเฉพาะจุด

การตรวจโรคคลามายเดียเจ็บไหม?

  • การตรวจปัสสาวะ: ไม่เจ็บเลย
  • การเก็บสารคัดหลั่ง: อาจรู้สึกไม่สบายบ้างแต่ไม่เจ็บมาก
  • การตรวจสว๊อบ: รู้สึกระคายเคืองเพียงเล็กน้อย เป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาที

ส่วนใหญ่ผู้เข้ารับการตรวจจะรู้สึกสบายใจกว่าที่คิด และไม่ต้องกังวลเรื่องความเจ็บ

ควรตรวจเมื่อไหร่?

  • หากมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
  • หากมีอาการผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย
  • หากคู่นอนตรวจพบว่าติดเชื้อ

วิธีรักษาโรคคลามายเดีย รักษาหายไหม?

โรคคลามายเดีย (Chlamydia) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ สามารถรักษาให้หายได้ หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วและถูกต้อง โดยการรักษาหลักคือการใช้ยาปฏิชีวนะภายใต้คำแนะนำของแพทย์

วิธีรักษาโรคคลามายเดีย

  • การใช้ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics): ยาหลักที่ใช้รักษาโรคคลามายเดีย ได้แก่
    • Azithromycin (อะซิโทรมัยซิน) กินครั้งเดียว
    • Doxycycline (ด็อกซีไซคลิน) กินต่อเนื่อง 7 วัน

แพทย์จะพิจารณาเลือกยาตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย

  • การรักษาคู่นอน: คู่นอนควรได้รับการตรวจและรักษาเช่นเดียวกันเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
  • งดการมีเพศสัมพันธ์: ควรงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 7 วัน หลังได้รับการรักษา เพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อหมดไปและลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อ

โรคคลามายเดียรักษาหายไหม?

  • โรคนี้ สามารถรักษาหายขาดได้ หากรับประทานยาครบตามแพทย์สั่ง
  • ไม่ควรหยุดยาเองแม้อาการจะดีขึ้นแล้ว
  • ในบางรายที่มีภาวะแทรกซ้อน อาจต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานขึ้นหรือมีการตรวจติดตามเพิ่มเติม

การดูแลหลังการรักษา

  • ตรวจซ้ำประมาณ 3-4 สัปดาห์ เพื่อยืนยันว่าหายสนิท
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
  • รักษาสุขอนามัยและพูดคุยกับคู่นอนอย่างเปิดเผย

หลังการรักษาคลามายเดียต้องดูแลตัวเองอย่างไร?

แม้ว่าโรคคลามายเดีย (Chlamydia) จะสามารถรักษาให้หายได้ด้วยยาปฏิชีวนะ แต่การดูแลตัวเองหลังการรักษาก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งในแง่ของการป้องกันการติดเชื้อซ้ำและการรักษาสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรง

ข้อปฏิบัติหลังการรักษาคลามายเดีย

  • รับประทานยาให้ครบตามแพทย์สั่ง: ห้ามหยุดยาเอง แม้อาการจะดีขึ้นแล้ว
  • งดการมีเพศสัมพันธ์: เว้นการมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 7 วัน หรือจนกว่าจะแน่ใจว่าการติดเชื้อหายขาด
  • ตรวจซ้ำ (Test of Cure): ควรตรวจซ้ำภายใน 3-4 สัปดาห์ หลังจบการรักษาเพื่อยืนยันว่าปราศจากเชื้อ
  • ให้คู่นอนเข้ารับการตรวจและรักษา: เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ

วิธีดูแลสุขภาพระยะยาวหลังรักษา

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • ตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ
  • หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนคู่นอนบ่อยครั้ง
  • รักษาสุขอนามัยของอวัยวะเพศและของใช้ส่วนตัว

คำแนะนำเพิ่มเติมจากแพทย์

  • หากมีอาการผิดปกติซ้ำ ควรรีบพบแพทย์ทันที
  • อย่าละเลยการตรวจติดตาม แม้อาการจะดีขึ้น
  • พูดคุยเปิดใจกับคู่นอนเกี่ยวกับประวัติสุขภาพ

วิธีป้องกันโรคคลามายเดียทำอย่างไร?

แม้ว่าโรคคลามายเดีย (Chlamydia) จะสามารถรักษาให้หายได้ แต่การป้องกันไม่ให้ติดเชื้อหรือกลับมาติดเชื้อซ้ำยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรใส่ใจ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยง

วิธีป้องกันโรคคลามายเดียอย่างมีประสิทธิภาพ

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์: เป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลดีที่สุดในการลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  • ตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ: โดยเฉพาะผู้ที่มีคู่นอนหลายคน หรือมีพฤติกรรมเสี่ยง
  • จำกัดจำนวนคู่นอน: การมีคู่นอนเพียงคนเดียวที่ได้รับการตรวจและรักษาอย่างเหมาะสม ช่วยลดโอกาสติดเชื้อได้มาก
  • หลีกเลี่ยงการใช้ของเล่นทางเพศร่วมกัน: หรือควรใช้ถุงยางอนามัยหุ้มและทำความสะอาดทุกครั้ง
  • พูดคุยเปิดใจกับคู่นอน: เกี่ยวกับการตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และสุขภาพทางเพศ

การป้องกันในหญิงตั้งครรภ์

  • หญิงตั้งครรภ์ควรเข้ารับการตรวจหาเชื้อ Chlamydia ตามคำแนะนำของแพทย์ เนื่องจากการติดเชื้ออาจส่งผลกระทบต่อลูกน้อยได้

สรุปแนวทางป้องกันแบบง่ายๆ

  • ป้องกันดีกว่ารักษา
  • การตรวจหาเชื้อเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยง
  • หากพบเชื้อ ควรรีบรักษาและงดมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะหายสนิท

ภาวะแทรกซ้อนของโรคคลามายเดียมีอะไรบ้าง?

หากโรคคลามายเดีย (Chlamydia) ไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงซึ่งส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว ทั้งในผู้หญิง ผู้ชาย และทุกเพศทุกวัย

ภาวะแทรกซ้อนของโรคคลามายเดียในผู้หญิง

  • อุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease – PID): ภาวะการอักเสบของอวัยวะสืบพันธุ์ภายใน อาจทำให้เกิดพังผืดหรือเนื้อเยื่อแผลเป็น
  • ภาวะมีบุตรยาก: เกิดจากการอุดตันของท่อนำไข่หรือความเสียหายของอวัยวะสืบพันธุ์
  • ตั้งครรภ์นอกมดลูก: เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ที่ตัวอ่อนไปฝังตัวนอกโพรงมดลูก ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต
  • เจ็บปวดอุ้งเชิงกรานเรื้อรัง: ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพจิต

ภาวะแทรกซ้อนของโรคคลามายเดียในผู้ชาย

  • การอักเสบของท่อนำอสุจิ (Epididymitis): ส่งผลต่อความเจ็บปวดและอาจมีผลต่อการเจริญพันธุ์
  • ภาวะมีบุตรยาก: เกิดจากการอุดตันของท่อนำอสุจิ
  • ข้ออักเสบ (Reactive Arthritis): เกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ

ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดได้ในทุกเพศ

  • เยื่อบุตาอักเสบ (Chlamydial Conjunctivitis): เกิดจากเชื้อเข้าสู่ดวงตา อาจพบในทารกแรกเกิด
  • การติดเชื้อที่ทวารหนักและลำคอ: หากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดการอักเสบหรือเรื้อรัง
  • เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) สูงขึ้น: การมีแผลหรือการอักเสบทำให้เสี่ยงต่อการรับเชื้อเอชไอวีมากขึ้น

โรคคลามายเดียเสี่ยงติดซ้ำได้ไหม?

แม้ว่าคลามายเดีย (Chlamydia) จะสามารถรักษาให้หายได้ แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะติดเชื้อซ้ำได้เช่นเดียวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ การติดเชื้อซ้ำอาจเกิดขึ้นได้แม้เคยได้รับการรักษาแล้วหากยังคงมีพฤติกรรมเสี่ยง

ทำไมถึงเสี่ยงติดเชื้อคลามายเดียซ้ำ?

  • การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่ยังไม่ได้รับการรักษา: แม้ว่าคุณจะรักษาหายแล้ว หากคู่นอนไม่ได้รับการรักษา ก็สามารถติดเชื้อซ้ำได้ง่าย
  • พฤติกรรมทางเพศที่ไม่มีการป้องกัน: เช่น ไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือมีคู่นอนหลายคน
  • ไม่เข้ารับการตรวจติดตามหลังรักษา: ผู้ที่ไม่ได้ตรวจซ้ำอาจมีเชื้อหลงเหลืออยู่และกลับมาติดซ้ำโดยไม่รู้ตัว

ความเสี่ยงของการติดเชื้อซ้ำ

  • การติดเชื้อซ้ำหลายครั้งอาจเพิ่มโอกาสเกิด ภาวะแทรกซ้อน เช่น มีบุตรยาก หรือ อุ้งเชิงกรานอักเสบเรื้อรัง
  • การรักษาซ้ำบ่อยครั้งอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิต

วิธีลดความเสี่ยงการติดเชื้อซ้ำ

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • ชวนคู่นอนเข้ารับการตรวจและรักษา
  • ตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ
  • งดเว้นเพศสัมพันธ์จนกว่าผลตรวจจะยืนยันว่าหายขาด

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคคลามายเดีย

เพื่อช่วยให้เข้าใจโรคคลามายเดีย (Chlamydia) ได้ง่ายขึ้น ต่อไปนี้คือคำถามที่พบบ่อยจากผู้ที่กังวลหรือสงสัยเกี่ยวกับโรคนี้ พร้อมคำตอบกระชับ ชัดเจน

โรคคลามายเดียคือโรคอะไร?

โรคคลามายเดีย หรือหนองในเทียม เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis สามารถติดได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือช่องปาก

โรคคลามายเดียมีอาการอย่างไร?

ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ ไม่มีอาการ แต่บางรายอาจมีตกขาวผิดปกติ เจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือปัสสาวะแสบขัด

โรคคลามายเดียรักษาได้ไหม?

รักษาได้ด้วย ยาปฏิชีวนะ ภายใต้การดูแลของแพทย์ ผู้ป่วยควรรับประทานยาให้ครบตามคำสั่ง

คลามายเดียติดได้ทางไหนบ้าง?

  • เพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน (ทุกช่องทาง)
  • การสัมผัสสารคัดหลั่ง
  • จากแม่สู่ลูกในขณะคลอด

โรคคลามายเดียตรวจอย่างไร?

  • ตรวจปัสสาวะ
  • เก็บสารคัดหลั่ง (Swab Test)
  • การตรวจสารพันธุกรรม (NAAT)

ติดเชื้อคลามายเดียแล้วจะมีลูกได้ไหม?

ถ้ารักษาอย่างทันท่วงทีและถูกต้อง ส่วนใหญ่ไม่กระทบต่อการมีบุตร แต่หากปล่อยไว้อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อ ภาวะมีบุตรยาก

ติดเชื้อแล้วจำเป็นต้องบอกคู่นอนไหม?

จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้คู่นอนเข้ารับการตรวจและรักษา ช่วยป้องกันการแพร่เชื้อซ้ำ

โรคคลามายเดียป้องกันอย่างไร?

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
  • ตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ
  • งดพฤติกรรมเสี่ยง

บทสรุป

โรคคลามายเดีย (หนองในเทียม) เป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที แต่หากปล่อยไว้อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้

การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ การตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ และการรักษาความสัมพันธ์อย่างซื่อสัตย์ถือเป็นแนวทางสำคัญในการป้องกันโรคนี้

หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีความเสี่ยงหรือสงสัยว่าติดเชื้อ ควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจและรับคำปรึกษาอย่างถูกต้อง เพื่อสุขภาพที่ดีและปลอดภัยของทุกคน

icon email