ซิฟิลิสคืออะไร
ซิฟิลิส (Syphilis) คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่งที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มแบคทีเรียชนิดสไปโรชีต (Spirochete bacteria) ลักษณะคล้ายเกลียวสว่าน เชื้อชนิดนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านเยื่อเมือก หรือบาดแผลที่มองไม่เห็น เช่น บริเวณอวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก
เชื้อจะกระจายเข้าสู่กระแสเลือดและอวัยวะต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ซิฟิลิสสามารถพัฒนาไปสู่ระยะลุกลาม ซึ่งมีผลกระทบต่อระบบประสาท สมอง หัวใจ และอวัยวะสำคัญอื่น ๆ
โรคซิฟิลิสมีอาการเปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละระยะ โดยในระยะแรกมักจะไม่มีอาการเจ็บปวดชัดเจน ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าตนเองติดเชื้อ นอกจากนี้ ผู้ติดเชื้อยังสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้แม้จะไม่มีอาการภายนอก จึงนับว่าเป็นโรคที่มีความสำคัญทางสาธารณสุขและต้องได้รับการตรวจคัดกรองอย่างต่อเนื่อง
ซิฟิลิสติดต่อได้อย่างไร?
ซิฟิลิสสามารถติดต่อจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับแผลของผู้ติดเชื้อ (Chancre) ซึ่งมักเกิดขึ้นในบริเวณที่มีการสัมผัสทางเพศ เช่น อวัยวะเพศ ช่องปาก ปากทวารหนัก หรือทวารหนัก โดยการติดเชื้อส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก
แม้ว่าแผลเหล่านี้อาจไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดหรือสังเกตได้ยาก แต่ก็สามารถแพร่เชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงระยะแรกและระยะที่สองของโรค นอกจากนี้ การติดเชื้อยังสามารถเกิดขึ้นได้ผ่านการสัมผัสเลือดที่ปนเชื้อ เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือในกรณีที่ได้รับเลือดที่ยังไม่ได้รับการตรวจคัดกรอง
ในกรณีของหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ เชื้อซิฟิลิสสามารถแพร่จากแม่สู่ลูกได้ผ่านทางรกหรือตอนคลอด ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะ “ซิฟิลิสแต่กำเนิด” (Congenital Syphilis) ที่ส่งผลรุนแรงต่อทารก
อย่างไรก็ตาม ซิฟิลิส ไม่สามารถติดต่อผ่าน การใช้อุปกรณ์ร่วมกัน เช่น สุขภัณฑ์ สระว่ายน้ำ แก้วน้ำ หรือการกอดจับมือทั่วไป เนื่องจากเชื้อต้องการสภาพแวดล้อมชื้นและไม่สามารถอยู่รอดบนพื้นผิวแห้งหรือในสิ่งแวดล้อมทั่วไปได้
ซิฟิลิสเกิดจากอะไร?
ซิฟิลิสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิด Treponema pallidum ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มแบคทีเรียที่มีรูปร่างเป็นเกลียว เรียกว่า “สไปโรชีต” (Spirochete bacteria) เชื้อนี้มีลักษณะเฉพาะคือเคลื่อนที่ได้คล่องตัวในของเหลวภายในร่างกาย เช่น กระแสเลือดและน้ำหล่อเลี้ยงต่าง ๆ
Treponema pallidum มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมภายนอกร่างกายมาก จึงไม่สามารถอยู่รอดได้นานในอุณหภูมิสูง พื้นผิวแห้ง หรือบริเวณที่ไม่มีความชื้น เชื้อจึงต้องอาศัยร่างกายมนุษย์เพื่อคงอยู่และแพร่พันธุ์
การติดเชื้อซิฟิลิสเกิดขึ้นเมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนังหรือเยื่อเมือกที่มีรอยแผล แม้จะเป็นเพียงรอยถลอกขนาดเล็กที่มองไม่เห็นก็ตาม เชื้อนี้สามารถแพร่กระจายได้รวดเร็วผ่านทางเลือดและน้ำเหลือง และสามารถเข้าสู่อวัยวะต่าง ๆ ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
สาเหตุหลักของการได้รับเชื้อคือการสัมผัสโดยตรงกับแผลของผู้ติดเชื้อระหว่างมีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะเมื่อไม่ได้สวมถุงยางอนามัย นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อได้จากแม่สู่ลูก หรือผ่านเลือดในกรณีที่มีการใช้เข็มหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ร่วมกันโดยไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ
ซิฟิลิสระยะแรกเป็นอย่างไร?
ในระยะแรกของโรคซิฟิลิส ซึ่งเรียกว่า ระยะปฐมภูมิ (Primary Syphilis) ผู้ติดเชื้อจะมีแผลลักษณะเฉพาะที่เรียกว่า “แผลริมแข็ง” (Chancre) ปรากฏขึ้นบริเวณที่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย โดยมักพบได้ที่อวัยวะเพศ ปาก ทวารหนัก หรือตำแหน่งอื่นที่มีการสัมผัสทางเพศโดยตรง
แผลริมแข็งมักเกิดขึ้นภายใน 10–90 วันหลังได้รับเชื้อ ลักษณะแผลมักเป็นแผลเดี่ยว รูปร่างกลมหรือรี ขอบชัด ก้นแผลเรียบ แข็งตึง ไม่เจ็บ ไม่มีหนอง และไม่คัน แผลนี้สามารถหายได้เองภายใน 3–6 สัปดาห์ โดยไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา ซึ่งเป็นสาเหตุที่หลายคนไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อ และอาจไม่ได้เข้ารับการตรวจหรือรักษาในช่วงเวลานี้
ต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงมักโตและกดเจ็บได้ แต่ไม่มีอาการไข้หรือเจ็บป่วยชัดเจนในระยะนี้ หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา เชื้อจะเข้าสู่กระแสเลือดและลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ซึ่งนำไปสู่ระยะที่สองของโรคที่มีการแพร่กระจายมากขึ้น
อาการซิฟิลิสในแต่ละระยะ
โรคซิฟิลิสมีลักษณะเฉพาะที่สำคัญคืออาการจะแตกต่างกันอย่างชัดเจนตามระยะของโรค ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะหลัก ได้แก่ ระยะที่ 1 (Primary), ระยะที่ 2 (Secondary), ระยะแฝง (Latent) และ ระยะสุดท้าย (Tertiary) โดยแต่ละระยะมีอาการและความรุนแรงแตกต่างกันดังนี้
ระยะที่ 1 (Primary Syphilis)
เป็นระยะที่เกิดแผลริมแข็ง (chancre) ซึ่งเป็นแผลเดี่ยวไม่เจ็บ มักพบที่อวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก แผลจะหายไปได้เองภายในไม่กี่สัปดาห์ แม้ไม่ได้รับการรักษา
หลังจากแผลริมแข็งหาย เชื้อจะเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เกิดผื่นตามร่างกาย โดยเฉพาะฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือมีลักษณะคล้ายหูดบริเวณอวัยวะเพศ บางรายอาจมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต ผมร่วง หรือเจ็บคอได้ อาการเหล่านี้สามารถหายไปได้เอง แต่โรคยังคงดำเนินต่อไป
ระยะแฝง (Latent Syphilis)
ในระยะนี้จะไม่มีอาการแสดงทางคลินิก ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกผิดปกติใด ๆ แต่สามารถตรวจพบเชื้อในเลือด ระยะนี้อาจดำเนินอยู่ได้นานหลายปี
ระยะสุดท้าย (Tertiary Syphilis)
เกิดขึ้นได้ในผู้ที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม เชื้อจะลุกลามไปยังอวัยวะสำคัญ เช่น สมอง เส้นประสาท หัวใจ หลอดเลือด หรือกระดูก ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น อัมพาต ตาบอด สมองเสื่อม หูหนวก หรือเสียชีวิต
อาการซิฟิลิสในผู้หญิงต่างจากผู้ชายไหม?
แม้ซิฟิลิสจะเกิดจากเชื้อชนิดเดียวกันในทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่อาการในแต่ละเพศอาจแสดงออกแตกต่างกันเล็กน้อย ทั้งในด้านตำแหน่งของแผลและลักษณะอาการเฉพาะเพศ ซึ่งอาจส่งผลต่อการวินิจฉัยและการเข้ารับการรักษา
ในผู้หญิง แผลริมแข็ง (chancre) มักเกิดในบริเวณที่สังเกตได้ยาก เช่น ปากช่องคลอด หรือบริเวณภายในช่องคลอด ซึ่งอาจไม่มีอาการเจ็บปวด ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้ตัวและไม่ได้ตรวจรักษาในช่วงระยะแรก นอกจากนี้ ผื่นในระยะที่สองอาจปรากฏในรูปแบบไม่จำเพาะ เช่น ผื่นที่ซ่อนอยู่ตามร่มผ้า ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรืออวัยวะเพศ โดยไม่ทำให้รู้สึกระคายเคือง
ในผู้ชาย แผลมักปรากฏที่ปลายอวัยวะเพศหรือหนังหุ้มปลาย ซึ่งสังเกตเห็นได้ง่ายกว่าและอาจกระตุ้นให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์เร็วกว่า ในบางรายอาจมีแผลที่ถุงอัณฑะ ขาหนีบ หรือทวารหนัก ขึ้นอยู่กับลักษณะของการสัมผัสเชื้อ
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา เชื้อจะสามารถแพร่เข้าสู่กระแสเลือดและลุกลามได้เหมือนกัน โดยไม่มีความแตกต่างในแง่ความรุนแรงของโรค
ซิฟิลิสกับแผลริมอ่อนต่างกันอย่างไร?
ซิฟิลิสและแผลริมอ่อน (Chancroid) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มีลักษณะเป็นแผลที่อวัยวะเพศเหมือนกัน แต่เกิดจากเชื้อโรคคนละชนิดและมีความแตกต่างที่สำคัญหลายประการ ซึ่งจำเป็นต้องแยกโรคให้ชัดเพื่อการรักษาที่เหมาะสม
ซิฟิลิส เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum โดยในระยะแรกจะมีแผลริมแข็ง (chancre) ลักษณะแผลเป็นวงกลมหรือรี ก้นแผลเรียบ แข็ง ขอบชัด และ ไม่เจ็บ โดยทั่วไปมีแผลเพียง 1 จุด และหายได้เองในเวลาไม่กี่สัปดาห์ แม้ไม่ได้รับการรักษา
ในขณะที่ แผลริมอ่อน (Chancroid) เกิดจากเชื้อ Haemophilus ducreyi แผลมีลักษณะ นุ่มและเจ็บปวดมาก มีขอบแผลไม่เรียบ อาจมีหนองปนเลือด และมักมีหลายแผลพร้อมกัน ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบอาจโตและเจ็บร่วมด้วย
อีกจุดสังเกตที่สำคัญคือ แผลริมอ่อนมักลุกลามได้เร็วและมีการอักเสบรุนแรงมากกว่าซิฟิลิส แต่สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยที่แม่นยำต้องอาศัยการตรวจเชื้อในห้องปฏิบัติการ เพื่อแยกโรคอย่างชัดเจน
ใครบ้างควรตรวจซิฟิลิส?
การตรวจหาเชื้อซิฟิลิสไม่จำเป็นต้องรอให้มีอาการชัดเจน เพราะผู้ติดเชื้อจำนวนมากไม่มีอาการในระยะเริ่มต้น การตรวจเชิงรุกจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
กลุ่มที่ควรตรวจซิฟิลิส ได้แก่
- ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน โดยเฉพาะกับคู่นอนที่ไม่แน่ใจในประวัติสุขภาพ
- ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน หรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
- ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) ซึ่งเป็นกลุ่มที่พบอัตราการติดเชื้อซิฟิลิสเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ
- หญิงตั้งครรภ์ ควรตรวจตั้งแต่ระยะเริ่มต้นของการฝากครรภ์ เพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อสู่ทารก
- ผู้ที่ติดเชื้อ HIV หรือมีพฤติกรรมเสี่ยงคล้ายคลึงกับการรับเชื้อ HIV
- ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น เช่น หนองใน หนองในเทียม หรือเริม
แม้ในกรณีที่ไม่มีอาการ หากอยู่ในกลุ่มข้างต้น แนะนำให้เข้ารับการตรวจซิฟิลิสอย่างน้อยปีละครั้ง หรือบ่อยกว่านั้นหากมีความเสี่ยงเฉพาะตัวสูง
ซิฟิลิสในกลุ่มชายรักชาย (MSM) เสี่ยงต่างจากคนทั่วไปไหม?
กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM – Men who have Sex with Men) ถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อซิฟิลิสมากกว่าประชากรทั่วไป จากข้อมูลทางระบาดวิทยาในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย พบว่าอัตราการติดเชื้อซิฟิลิสในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 5–10 ปีที่ผ่านมา
ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในกลุ่ม MSM ได้แก่
- การมีคู่นอนหลายคน และเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
- การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก ซึ่งเยื่อบุมีความบอบบางและเกิดแผลได้ง่าย ทำให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายได้สะดวก
- การไม่ใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอ
- การใช้สารเสพติดขณะมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งลดการตัดสินใจและเพิ่มพฤติกรรมเสี่ยง
นอกจากนี้ ในบางกรณีพบการติดเชื้อซิฟิลิสร่วมกับการติดเชื้อ HIV โดยที่การติดเชื้อหนึ่งอาจเพิ่มโอกาสในการติดเชื้ออีกชนิดหนึ่ง เนื่องจากมีผลต่อเยื่อบุและระบบภูมิคุ้มกัน
การตรวจคัดกรองซิฟิลิสเป็นประจำจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับกลุ่ม MSM โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เพื่อการวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที รวมถึงช่วยป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น
ซิฟิลิสในแม่ตั้งครรภ์ส่งผลต่อทารกหรือไม่?
ซิฟิลิสในหญิงตั้งครรภ์ถือเป็นภาวะที่ต้องเฝ้าระวังอย่างยิ่ง เนื่องจากเชื้อ Treponema pallidum สามารถส่งผ่านจากแม่สู่ลูกผ่านทางรกได้ตั้งแต่ในระยะแรกของการตั้งครรภ์ แม้แม่จะไม่มีอาการชัดเจนก็ตาม การติดเชื้อในลักษณะนี้เรียกว่า “ซิฟิลิสโดยกำเนิด” (Congenital Syphilis)
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์มีตั้งแต่ไม่แสดงอาการในช่วงแรก ไปจนถึงเกิดความผิดปกติรุนแรง เช่น:
- แท้งบุตรหรือคลอดก่อนกำหนด
- ทารกเสียชีวิตในครรภ์หรือเสียชีวิตหลังคลอดไม่นาน
- ทารกมีความผิดปกติทางโครงสร้าง เช่น โหนกหน้าผากโปน สะพานจมูกแบน ฟันผิดรูป
- ความผิดปกติทางระบบประสาท เช่น ตาบอด หูหนวก หรือสมองเสื่อม
- การเจริญเติบโตล่าช้า ตับม้ามโต ภาวะซีด
หากมีการตรวจคัดกรองแต่เนิ่น ๆ หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อสามารถรับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ (เช่น เพนิซิลลิน) ได้อย่างปลอดภัย และสามารถลดความเสี่ยงต่อทารกได้เกือบทั้งหมด
องค์การอนามัยโลก (WHO) และกระทรวงสาธารณสุขของไทย จึงแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ทุกรายได้รับการตรวจซิฟิลิสตั้งแต่การฝากครรภ์ครั้งแรก
วิธีตรวจซิฟิลิสมีกี่แบบ? ตรวจแบบไหนแม่นยำสุด?
การวินิจฉัยโรคซิฟิลิสสามารถทำได้โดยการตรวจเลือดเป็นหลัก ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ การตรวจแบบคัดกรอง (Screening test) และ การตรวจแบบยืนยันผล (Confirmatory test) โดยในบางกรณีอาจมีการตรวจเพิ่มเติมจากแผลหรือการเจาะน้ำไขสันหลังขึ้นอยู่กับอาการผู้ป่วย
1. การตรวจคัดกรอง (Screening tests)
ใช้เพื่อค้นหาผู้ติดเชื้อเบื้องต้น เช่น
- VDRL (Venereal Disease Research Laboratory)
- RPR (Rapid Plasma Reagin)
ผลที่ได้จะเป็นค่าบวกหรือลบในเบื้องต้น แต่ยังไม่สามารถยืนยันการติดเชื้อได้ 100% จำเป็นต้องมีการตรวจยืนยันเพิ่มเติม
2. การตรวจยืนยัน (Confirmatory tests)
ใช้สำหรับยืนยันผลจากการตรวจคัดกรอง เช่น
- FTA-ABS (Fluorescent Treponemal Antibody Absorption)
- TPPA (Treponema Pallidum Particle Agglutination)
- EIA (Enzyme Immunoassay)
การตรวจกลุ่มนี้มีความแม่นยำสูง สามารถแยกแยะผลบวกปลอมได้ดี โดยเฉพาะในรายที่มีผล VDRL หรือ RPR ผิดปกติ
3. การตรวจจากตัวอย่างแผล
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีแผล แพทย์อาจเก็บของเหลวจากแผลไปตรวจเชื้อด้วยกล้องจุลทรรศน์ชนิดพิเศษ หรือ PCR
4. การเจาะน้ำไขสันหลัง (CSF analysis)
ใช้ในผู้ป่วยที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อซิฟิลิสในระบบประสาท (neurosyphilis) หรือในรายที่มีอาการทางสมอง
โดยทั่วไป การตรวจแบบยืนยัน (FTA-ABS หรือ TPPA) ถือเป็นวิธีที่แม่นยำที่สุดสำหรับการวินิจฉัยซิฟิลิส และควรทำร่วมกับการซักประวัติและตรวจร่างกายโดยแพทย์
ตรวจซิฟิลิสต้องงดน้ำงดอาหารไหม?
โดยทั่วไป การตรวจซิฟิลิสไม่จำเป็นต้องงดน้ำหรืออาหาร ก่อนเข้ารับการตรวจ เนื่องจากการวินิจฉัยใช้การเจาะเลือดเพื่อตรวจหาภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อเชื้อ Treponema pallidum ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่ม
อย่างไรก็ตาม หากคุณเข้ารับบริการตรวจพร้อมกับการตรวจสุขภาพอื่น ๆ ที่ต้องงดอาหาร เช่น การตรวจน้ำตาลหรือไขมันในเลือด แพทย์อาจแนะนำให้งดอาหารล่วงหน้า 8–12 ชั่วโมงตามข้อกำหนดของการตรวจนั้น ๆ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับซิฟิลิสโดยตรง
สำหรับการตรวจซิฟิลิสแบบด่วน (Rapid Test) ก็ไม่ต้องงดอาหารเช่นกัน และสามารถตรวจได้ทุกช่วงเวลาของวันโดยไม่มีข้อจำกัด
เพื่อความมั่นใจ แนะนำให้สอบถามเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการหรือตามคำแนะนำของแพทย์ก่อนเข้ารับการตรวจเสมอ
ตรวจซิฟิลิสกี่วันรู้ผล?
ระยะเวลาที่ใช้ในการทราบผลตรวจซิฟิลิสขึ้นอยู่กับวิธีการตรวจที่ใช้ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ การตรวจแบบรวดเร็ว (Rapid Test) และ การตรวจด้วยห้องปฏิบัติการมาตรฐาน (Standard Laboratory Test)
1. การตรวจแบบรวดเร็ว (Rapid Syphilis Test)
ใช้เวลาเพียง 15–30 นาที ก็สามารถทราบผลได้ทันที เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทราบผลเร่งด่วนในวันเดียว โดยมักใช้วิธีเจาะเลือดปลายนิ้ว
2. การตรวจแบบห้องปฏิบัติการ
การเจาะเลือดเพื่อส่งตรวจ VDRL, RPR หรือ TPPA อาจใช้เวลาตั้งแต่ 1–3 วันทำการ แล้วแต่ระบบของแต่ละโรงพยาบาลหรือคลินิก ถ้าเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่หรือใช้บริการห้องปฏิบัติการภายนอก อาจต้องรอผลนานกว่านั้นเล็กน้อย
นอกจากนี้ หากต้องมีการตรวจยืนยันซ้ำ (เช่น ผลตรวจเบื้องต้นเป็นบวก) อาจต้องใช้เวลารวมเพิ่มขึ้นอีก 1–2 วัน
ดังนั้น หากคุณมีข้อกังวลเฉพาะ เช่น ต้องทราบผลก่อนการผ่าตัด มีเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยง หรืออยู่ระหว่างตั้งครรภ์ ควรแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมกับเวลาและความจำเป็น
ตรวจซิฟิลิสหลังเสี่ยงกี่วันถึงแม่นยำ?
การตรวจซิฟิลิสให้ได้ผลที่แม่นยำนั้นจำเป็นต้องอาศัยช่วงเวลา “หลังสัมผัสเชื้อ” หรือที่เรียกว่าช่วงฟักตัวของโรค ซึ่งเป็นระยะที่ร่างกายเริ่มสร้างแอนติบอดี (ภูมิคุ้มกัน) เพื่อตอบสนองต่อเชื้อ Treponema pallidum
ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการตรวจ:
- หลังสัมผัสเสี่ยงประมาณ 3–6 สัปดาห์ (หรือ 21–42 วัน) ร่างกายจะเริ่มสร้างแอนติบอดีในระดับที่สามารถตรวจพบได้
- หากตรวจเร็วเกินไป (เช่น ภายใน 1–2 สัปดาห์แรก) อาจให้ผลลบลวง (false negative) ได้
แนวทางแนะนำ:
- หากสงสัยว่ามีความเสี่ยง ควรเข้ารับคำปรึกษากับแพทย์ทันที แพทย์อาจนัดตรวจครั้งแรกก่อน และนัดตรวจซ้ำอีกครั้งหลังผ่านช่วงฟักตัว
- หากตรวจในช่วงก่อน 3 สัปดาห์ ควรเน้นการตรวจแบบติดตามต่อเนื่องตามแนวทางของแพทย์
การตรวจให้ตรงช่วงเวลาที่แนะนำจะเพิ่มโอกาสในการตรวจพบเชื้อได้อย่างแม่นยำ และเริ่มต้นการรักษาได้ทันทีหากพบผลบวก
ตรวจซิฟิลิสแบบด่วน (Rapid Test) ดีไหม?
การตรวจซิฟิลิสแบบด่วน หรือที่เรียกว่า Rapid Syphilis Test เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้องการทราบผลอย่างเร่งด่วน เช่น ก่อนผ่าตัด ตรวจระหว่างตั้งครรภ์ หรือตรวจหลังมีเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยง
ข้อดีของการตรวจแบบด่วน:
- รู้ผลใน 15–30 นาที ไม่ต้องรอหลายวัน
- ใช้เลือดจากปลายนิ้ว เพียงไม่กี่หยด
- สะดวก เหมาะสำหรับการตรวจในคลินิกทั่วไป หรือหน่วยตรวจเคลื่อนที่
- เหมาะกับผู้ที่ต้องการตรวจเบื้องต้นก่อนตัดสินใจตรวจซ้ำแบบละเอียด
จุดที่ควรระวัง:
- แม้จะมีความแม่นยำในระดับหนึ่ง แต่ การตรวจแบบด่วนถือเป็นการคัดกรองเบื้องต้น หากผลเป็นบวก ควรตรวจยืนยันด้วยวิธีมาตรฐาน (เช่น FTA-ABS หรือ TPPA)
- มีความเสี่ยงที่จะให้ผลลบลวงได้ในช่วงต้นของการติดเชื้อ โดยเฉพาะหากตรวจเร็วเกินไปหลังสัมผัสเชื้อ
โดยสรุป การตรวจแบบด่วนเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการตรวจเบื้องต้น แต่ไม่สามารถใช้แทนการตรวจแบบยืนยันได้ในกรณีที่ต้องการผลแม่นยำเพื่อวินิจฉัยหรือวางแผนรักษา
การวินิจฉัยโรคซิฟิลิสทำอย่างไร?
การวินิจฉัยโรคซิฟิลิสต้องอาศัยทั้งการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยแพทย์จะพิจารณาจากลักษณะอาการร่วมกับปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วย เพื่อให้สามารถแยกแยะซิฟิลิสออกจากโรคอื่นที่มีลักษณะคล้ายกันได้
ขั้นตอนการวินิจฉัยโดยทั่วไปประกอบด้วย
- ซักประวัติทางเพศและพฤติกรรมเสี่ยง
- ประวัติคู่นอน จำนวนคู่นอน การใช้ถุงยางอนามัย
- อาการที่พบ เช่น แผล ผื่น ไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต
- ตรวจร่างกายเฉพาะจุด
- ตรวจหาลักษณะแผลริมแข็ง (chancre) ผื่นออกดอก หรือตุ่มที่อวัยวะเพศ ปาก ทวารหนัก ฝ่ามือ ฝ่าเท้า
- ตรวจต่อมน้ำเหลืองหรือระบบประสาทหากมีอาการแสดง
- ตรวจเลือด
- เริ่มจากการตรวจคัดกรอง (VDRL หรือ RPR)
- หากผลเป็นบวก จะทำการตรวจยืนยัน (TPPA, FTA-ABS หรือ EIA)
- ตรวจเพิ่มเติมในรายเฉพาะ
- การเก็บตัวอย่างจากแผลเพื่อดูเชื้อโดยตรง (Dark-field microscopy หรือ PCR)
- เจาะน้ำไขสันหลังหากสงสัยการติดเชื้อในระบบประสาท (Neurosyphilis)
ในบางรายที่ไม่มีอาการชัดเจน การตรวจเลือดเป็นวิธีที่สำคัญที่สุดในการยืนยันการวินิจฉัย โดยควรใช้ทั้งการตรวจคัดกรองและตรวจยืนยันร่วมกัน
รักษาซิฟิลิสได้อย่างไร?
การรักษาโรคซิฟิลิสสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะหากวินิจฉัยได้ตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น ยาหลักที่ใช้คือ เพนิซิลลิน จี (Penicillin G) ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะที่มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดเชื้อ Treponema pallidum
แนวทางการรักษาในแต่ละระยะของโรค
- ระยะที่ 1 และ 2 (Early syphilis): ฉีดยาเบนซาทีนเพนิซิลลิน จี (Benzathine Penicillin G) เข้ากล้ามเนื้อเพียงครั้งเดียวก็สามารถกำจัดเชื้อได้
- ระยะแฝงหรือระยะลุกลาม (Late latent or tertiary syphilis): ต้องฉีดยาเพนิซิลลิน จี สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 3 สัปดาห์
- ผู้ที่สงสัยว่าเชื้อลุกลามเข้าสู่ระบบประสาท (Neurosyphilis): ต้องรับการรักษาด้วยยาฉีดเพนิซิลลินเข้าหลอดเลือดดำเป็นเวลา 10–14 วัน และอาจต้องนอนโรงพยาบาล
ในผู้ที่ แพ้ยาเพนิซิลลิน แพทย์อาจเลือกใช้ยาทางเลือก เช่น ด็อกซีไซคลิน (Doxycycline) หรืออะซิโทรมัยซิน (Azithromycin) แต่อาจมีประสิทธิภาพน้อยกว่า และต้องติดตามผลอย่างใกล้ชิด
หลังได้รับการรักษา แพทย์จะนัดตรวจเลือดซ้ำตามช่วงเวลา เพื่อประเมินประสิทธิภาพของการรักษา และเฝ้าระวังการกลับมาติดเชื้อใหม่หรือไม่ตอบสนองต่อยา
ยารักษาซิฟิลิสมีอะไรบ้าง? มีผลข้างเคียงหรือไม่?
ยาหลักที่ใช้ในการรักษาซิฟิลิสคือ เพนิซิลลิน จี (Penicillin G) ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะที่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และถือเป็น “ยาเลือกใช้” สำหรับโรคซิฟิลิสในทุกระยะ เพราะมีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อ Treponema pallidum ได้สูงมาก
ยาที่ใช้บ่อยในการรักษาซิฟิลิส
- Benzathine Penicillin G – ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เหมาะกับซิฟิลิสระยะแรกถึงระยะล่าช้า
- Aqueous Crystalline Penicillin G – ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ใช้ในผู้ที่สงสัยติดเชื้อในระบบประสาท (Neurosyphilis)
- Doxycycline – ใช้ในกรณีแพ้เพนิซิลลิน (กินวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 14–28 วัน)
ผลข้างเคียงที่อาจพบได้
- อาการแพ้ยา (Allergic reactions): เช่น ผื่น คัน หายใจลำบาก (กรณีแพ้เพนิซิลลินควรแจ้งแพทย์ทันที)
- Jarisch-Herxheimer reaction: อาการคล้ายไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อย มีผื่น ซึ่งเกิดจากการที่เชื้อตายภายในร่างกายหลังเริ่มยา มักเกิดใน 24 ชั่วโมงแรก และหายได้เองภายใน 72 ชั่วโมง
- ปวดกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดยา (เฉพาะยาฉีดเข้ากล้าม)
แพทย์จะพิจารณาเลือกใช้ยาที่เหมาะสมตามระยะของโรค ประวัติการแพ้ยา และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาและลดผลข้างเคียง
ซิฟิลิสรักษาให้หายขาดได้ไหม?
คำตอบคือ ได้ หากวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้โดยสิ้นเชิงด้วยยาปฏิชีวนะ โดยเฉพาะ เพนิซิลลิน จี (Penicillin G) ซึ่งยังคงเป็นแนวทางมาตรฐานในการรักษา
ในผู้ที่ได้รับการรักษาเร็วตั้งแต่ระยะที่ 1 หรือ 2 โอกาสที่จะหายขาดเกือบ 100% และไม่มีภาวะแทรกซ้อนตามมา แต่หากปล่อยให้ลุกลามเข้าสู่ระยะที่ 3 หรือมีการติดเชื้อในระบบประสาท (Neurosyphilis) แม้จะรักษาได้ แต่บางอาการอาจฟื้นตัวไม่เต็มที่ เช่น อาการทางสมองหรือระบบประสาทที่เกิดขึ้นไปแล้ว
ปัจจัยที่ทำให้รักษาได้ผลดี
- ตรวจพบเร็วและเริ่มรักษาทันที
- ใช้ยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
- ติดตามผลตรวจเลือดหลังการรักษาอย่างต่อเนื่อง
- คู่นอนได้รับการตรวจและรักษาพร้อมกัน เพื่อลดโอกาสติดซ้ำ
ข้อควรระวัง: แม้จะรักษาหายแล้ว แต่ผู้ที่เคยเป็นซิฟิลิส ยังสามารถติดเชื้อใหม่ได้อีก หากมีพฤติกรรมเสี่ยงเดิม เช่น ไม่ใช้ถุงยาง หรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ยังมีเชื้อ
ซิฟิลิสหายแล้วจะกลับมาเป็นอีกไหม?
แม้ว่าซิฟิลิสจะสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ เช่น เพนิซิลลิน จี (Penicillin G) แต่สิ่งสำคัญที่ควรเข้าใจคือ ร่างกายจะไม่สร้างภูมิคุ้มกันถาวรต่อเชื้อซิฟิลิส ดังนั้นผู้ที่เคยติดเชื้อและรักษาหายแล้ว ยังสามารถติดเชื้อซ้ำได้อีก หากสัมผัสเชื้อใหม่
กรณีที่อาจกลับมาติดเชื้อซ้ำ
- มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อ โดยไม่ป้องกัน
- คู่รักไม่ได้รับการรักษาพร้อมกัน ทำให้กลับมาติดจากคู่เดิม
- เข้าใจผิดว่าหายแล้วจึงไม่ตรวจซ้ำ หรือไม่ติดตามผลเลือด
แม้ผลเลือดจะกลับมาเป็นลบ หรือแสดงว่าการรักษาสำเร็จ แต่ไม่ได้หมายความว่าร่างกายมีภูมิคุ้มกันเหมือนวัคซีน จึงจำเป็นต้องใช้วิธีป้องกันอย่างสม่ำเสมอ เช่น การใช้ถุงยางอนามัย ตรวจสุขภาพประจำปี และแจ้งคู่ของตนให้เข้ารับการตรวจเช่นกัน
ซิฟิลิสต้องกักตัวไหม? ติดต่อคนอื่นได้หรือไม่?
โดยทั่วไป ผู้ที่ติดเชื้อซิฟิลิส ไม่จำเป็นต้องกักตัว ในลักษณะเดียวกับโรคติดต่อร้ายแรงแบบเฉียบพลัน เช่น วัณโรคหรือโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ผู้ที่อยู่ในระยะติดต่อของโรค โดยเฉพาะระยะที่ 1 (แผลริมแข็ง) และระยะที่ 2 (ระยะออกดอก) ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะได้รับการรักษาครบถ้วน และผลเลือดกลับมาเป็นปกติ
การติดต่อของซิฟิลิส
- ติดต่อโดยตรงผ่านการสัมผัสแผลที่มีเชื้อ เช่น อวัยวะเพศ ช่องปาก หรือทวารหนัก
- สามารถแพร่เชื้อได้แม้ไม่มีอาการ หากยังอยู่ในระยะติดต่อ
- ไม่สามารถติดต่อผ่านการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น ห้องน้ำ สระว่ายน้ำ หรือการสัมผัสผิวหนังทั่วไป
แนวทางปฏิบัติ
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ทุกรูปแบบจนกว่าการรักษาจะเสร็จสิ้น และแพทย์ยืนยันว่าปลอดเชื้อแล้ว
- แจ้งคู่นอนทุกรายในช่วง 3 เดือน – 1 ปีที่ผ่านมา (ขึ้นกับระยะโรค) ให้เข้ารับการตรวจและรักษาพร้อมกัน
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการติดตามผลเลือดหลังการรักษา
ภาวะแทรกซ้อนจากโรคซิฟิลิสมีอะไรบ้าง?
หากซิฟิลิสไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันเวลา เชื้อ Treponema pallidum จะลุกลามเข้าสู่กระแสเลือดและแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ส่งผลให้เกิด ภาวะแทรกซ้อน ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งบางอย่างอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตหรือพิการถาวร
ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ ได้แก่
- ซิฟิลิสในระบบประสาท (Neurosyphilis): อาจเกิดขึ้นได้ทุกระยะ อาการรวมถึงปวดศีรษะ เวียนหัว มึนงง เดินเซ สูญเสียการมองเห็นหรือการได้ยิน และอัมพาตบางส่วน
- ซิฟิลิสขึ้นตา (Ocular syphilis): มีผลต่อจอประสาทตา ทำให้ตามัว มองเห็นภาพซ้อน หรือในบางรายอาจตาบอดถาวร
- ซิฟิลิสในหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular syphilis): มักพบในระยะที่ 3 ทำให้เกิดหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง ลิ้นหัวใจรั่ว หรือหัวใจล้มเหลว พบภาวะความดันโลหิตสูงในคนอายุต่ำกว่า 20 ปี
- ซิฟิลิสโดยกำเนิด (Congenital syphilis): หากหญิงตั้งครรภ์ไม่ได้รับการรักษา เชื้อสามารถถ่ายทอดสู่ทารกในครรภ์ ทำให้เด็กพิการ ตาบอด หูหนวก หรือเสียชีวิตตั้งแต่แรกเกิด
- ความผิดปกติทางโครงสร้าง: ในระยะลุกลามอาจทำให้กระดูก หน้าผาก สะพานจมูก ฟัน และข้อต่อเกิดความผิดปกติ
- ผลกระทบทางจิต: บางรายอาจมีภาวะซึมเศร้า สมองเสื่อม หรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
การตรวจพบและรักษาเร็วตั้งแต่ระยะแรกสามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การป้องกันโรคซิฟิลิสทำได้อย่างไร?
โรคซิฟิลิสสามารถป้องกันได้ด้วยวิธีการที่เข้าใจง่ายและสามารถปฏิบัติได้จริง โดยเน้นไปที่การลดพฤติกรรมเสี่ยง การตรวจสุขภาพเป็นประจำ และการสื่อสารอย่างเปิดเผยกับคู่นอน ซึ่งนอกจากจะช่วยป้องกันการติดเชื้อแล้ว ยังส่งผลต่อการควบคุมโรคในภาพรวมของสังคมด้วย
วิธีป้องกันที่แนะนำ:
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์: การใช้ถุงยางอย่างถูกวิธีสามารถลดความเสี่ยงในการสัมผัสแผลที่มีเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ไม่สามารถป้องกันได้ 100%
- ตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ: สำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง ควรตรวจซิฟิลิสอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือถี่กว่านั้นหากเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
- หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน: โดยเฉพาะในกลุ่มที่ใช้สารเสพติดทางหลอดเลือด
- ตรวจเชื้อระหว่างการตั้งครรภ์: หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับการตรวจซิฟิลิสอย่างน้อย 1 ครั้งระหว่างการฝากครรภ์ เพื่อป้องกันการถ่ายทอดสู่ทารก
การป้องกันที่ดีต้องอาศัยทั้งความรู้ ความตระหนักรู้ และพฤติกรรมที่ปลอดภัย ซึ่งสามารถป้องกันโรคซิฟิลิสและโรคติดต่ออื่นได้พร้อมกัน
ซิฟิลิสกับเอดส์เหมือนหรือต่างกันอย่างไร?
แม้ว่า “ซิฟิลิส” และ “เอดส์” จะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เหมือนกัน และสามารถพบร่วมกันในผู้ป่วยบางราย แต่ทั้งสองโรค มีสาเหตุ กลไกการเกิด และการรักษาที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างซิฟิลิสกับเอดส์
หัวข้อ |
ซิฟิลิส |
เอดส์ (HIV/AIDS) |
---|
เชื้อที่ก่อโรค |
แบคทีเรีย Treponema pallidum |
ไวรัส HIV (Human Immunodeficiency Virus) |
การติดต่อ |
สัมผัสแผลที่มีเชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ หรือเลือด |
ของเหลวในร่างกาย เช่น เลือด น้ำอสุจิ สารคัดหลั่ง |
อาการ |
แผลริมแข็ง ผื่น ไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต / อาจเข้าสู่ระบบประสาท |
ภูมิคุ้มกันต่ำ ติดเชื้อซ้ำบ่อย น้ำหนักลด ติดเชื้อฉวยโอกาส |
การรักษา |
รักษาให้หายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ (เพนิซิลลิน) |
ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด มีแต่การควบคุมด้วยยาต้านไวรัส (ART) |
ระยะฟักตัว |
10–90 วัน |
2 สัปดาห์ – หลายปี |
อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อซิฟิลิสจะเพิ่มโอกาสในการรับเชื้อ HIV ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากแผลที่เกิดจากซิฟิลิสทำให้เยื่อบุผิวเปิด เสี่ยงต่อการเข้าสู่ร่างกายของไวรัส HIV ดังนั้นในทางการแพทย์จึงมักตรวจโรคทั้งสองควบคู่กัน
แค่จูบหรือน้ำลายสามารถติดซิฟิลิสได้ไหม?
โดยทั่วไป ซิฟิลิสไม่ได้ติดต่อผ่านน้ำลายเพียงอย่างเดียว แต่หากมีการจูบหรือสัมผัสปากกับผู้ที่มีแผลซิฟิลิสในช่องปากหรือริมฝีปาก ก็สามารถติดเชื้อได้ เนื่องจากเชื้อ Treponema pallidum แพร่กระจายผ่านการสัมผัสกับแผลเปิดที่มีเชื้อโดยตรง
การติดเชื้อผ่านการจูบหรือน้ำลาย จะเกิดขึ้นเมื่อ:
- ผู้ติดเชื้อมีแผลริมแข็งอยู่ภายในปาก ลิ้น เหงือก หรือคอหอย
- มีการสัมผัสอย่างใกล้ชิด เช่น จูบลึก หรือเลียแผลที่มีเชื้อ
- เยื่อบุในปากของอีกฝ่ายมีรอยถลอกหรือแผลเล็ก ๆ ซึ่งเป็นช่องทางให้เชื้อเข้าสู่ร่างกาย
สิ่งที่ไม่ทำให้ติดเชื้อ:
- การใช้ช้อน ส้อม แก้วน้ำ หรือจูบแบบไม่ลึก โดยที่ไม่มีแผล
- การสัมผัสน้ำลายโดยไม่มีการสัมผัสแผลหรือเยื่อบุที่เปิด
ถึงแม้การติดเชื้อทางจูบจะพบได้น้อยกว่าทางเพศสัมพันธ์โดยตรง แต่ ก็ยังเป็นไปได้ในบางกรณี โดยเฉพาะหากไม่ทราบว่าคู่มีแผลในปากหรือไม่ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังและสังเกตอาการของตนและคู่เสมอ
ราคาค่าตรวจซิฟิลิสที่ Bangkok Safe Clinic
อัปเดตข้อมูลปี 2025 จากเว็บไซต์ Bangkok Safe Clinic:
- ราคาตรวจ Syphilis RPR (ตรวจคัดกรองอย่างเดียว): 400 บาท
- แพ็กเกจ Syphilis Treponemal Test + RPR (ตรวจคัดกรอง + ตรวจยืนยัน): 700 บาท
ไม่มีค่าซักประวัติเพิ่มเติมนอกจากค่าที่ระบุในจำนวนด้านบน หากสนใจตรวจสามารถนัดผ่านช่องทางของคลินิกหรือระบบจองออนไลน์ได้เลยครับ
รักษาซิฟิลิสที่ไหนดี?
หากคุณเลือก Bangkok Safe Clinic สำหรับการตรวจและรักษาซิฟิลิส นี่คือข้อดีที่โดดเด่น:
ด้านบริการและความเชี่ยวชาญ
- ให้บริการ ตรวจและปรึกษาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านโรคติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์ (STIs/STDs)
- ใช้ห้องปฏิบัติการในสถานที่ พร้อมอุปกรณ์มาตรฐาน ทำการตรวจ RPR และ Treponemal test รู้ผลรวดเร็ว
- ใช้ ยาปฏิชีวนะที่ได้มาตรฐาน (Penicillin G) สำหรับฉีดรักษา โดยมีการติดตามอาการและนัดตรวจเลือดซ้ำหลังการรักษา
ด้านความสะดวกและแพทย์ดูแลแบบครบวงจร
- นัดหมายง่าย ผ่านระบบออนไลน์ และมีช่องทางสอบถามเพิ่มเติมผ่าน Line และ Facebook
- บริการรวดเร็วเหมาะกับผู้ต้องการผลหรือการรักษาอย่างเร่งด่วน
- ให้คำแนะนำการดูแลตัวเองหลังการรักษา พร้อมนัดตรวจติดตามตามมาตรฐานแพทยสภา
คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับโรคซิฟิลิส
Q1: ซิฟิลิสหายขาดแล้วจะตรวจเลือดไม่เจอเลยไหม?
A: หากรักษาเรียบร้อย ผลตรวจคัดกรอง (RPR/VDRL) จะกลับเป็นลบภายใน 6–12 เดือน แต่อาจมีแอนติบอดีคงค้าง (treponemal antibodies) ที่ตรวจพบในทดสอบแบบ TPPA/FTA‑ABS ได้ แม้จะไม่มีเชื้อแล้วก็ตาม ➡ การติดตามผลเป็นสิ่งสำคัญเพื่อความมั่นใจ
Q2: ถ้าคู่นอนเคยติดซิฟิลิส เราต้องตรวจไหม?
A: แนะนำให้ตรวจทุกกรณี: ควรเข้ารับการตรวจพร้อมกับตัวคุณ หากพบว่าคู่นอนเคยได้รับการรักษาแล้ว ต้องตรวจซ้ำครั้งล่าสุด ➡ เพื่อป้องกันการเกิดการแพร่เชื้อระลอกใหม่
Q3: ถ้าฉีดรักษาแล้ว แต่ยังมีอาการผื่น มีไข้ หรือเจ็บคอ ควรทำอย่างไร?
A: ควรกลับมาตรวจซ้ำ/ปรึกษาแพทย์ทันที: บางรายอาจเกิดภาวะ Jarisch-Herxheimer reaction หลังฉีดยา (มีไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อย) แต่ถ้าผื่นไม่สงบหรือมีอาการใหม่ ควรรีบประเมินว่าซื้อหรือเชื้อกำลังลุกลาม
Q4: ซิฟิลิสระยะลึกหรือซ้ำ ต้องใช้ยาเพนิซิลลินนานแค่ไหน?
A:
- ระยะแฝง/ระยะลึก: ฉีดเพนิซิลลินจี สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เต็ม 3 สัปดาห์
- ซ้ำหรือระยะ 2: ฉีดซ้ำจำนวนครั้งตามการประเมินของแพทย์ ➡ ติดตามผลเลือดเป็นระยะปรับแผนการรักษาได้เหมาะสม
Q5: ตรวจซิฟิลิสใช้เงินเท่าไหร่?
A: ที่ Bangkok Safe Clinic
- RPR = 400 บาท
- RPR + Treponemal = 700 บาท ➡ ไม่มีค่าปรึกษาเพิ่ม สามารถนัดออนไลน์ได้สะดวก
บทสรุป
ซิฟิลิสแม้จะเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หากตรวจพบและรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ แต่ในทางตรงกันข้าม หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา โรคอาจลุกลามไปสู่อวัยวะสำคัญและสร้างความเสียหายอย่างถาวร
การมีความรู้ ความเข้าใจ และการป้องกันตัวเองอย่างเหมาะสม คือหัวใจสำคัญในการลดความเสี่ยงของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงซิฟิลิส ไม่ว่าจะเป็นการใช้ถุงยาง ตรวจสุขภาพประจำปี หรือเปิดใจพูดคุยกับคู่นอนอย่างตรงไปตรงมา
หากคุณหรือคนใกล้ตัวสงสัยว่ามีความเสี่ยง หรือมีอาการน่าสงสัย ควรเข้ารับการตรวจที่สถานพยาบาลที่เชื่อถือได้โดยเร็ว เพื่อการวินิจฉัยและการดูแลที่เหมาะสม ก่อนที่โรคจะลุกลามจนเกินเยียวยา