
หากคุณกำลังจะเริ่มต้นความสัมพันธ์กับใครใหม่หรือกำลังอยู่ในความเสี่ยง การดูแลสุขภาพทางเพศเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม การตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) คือหนึ่งในวิธีป้องกันที่ดีที่สุด ไม่เพียงเพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง แต่ยังรวมถึงคนที่คุณรักด้วย
บทความนี้จะพาคุณไปรู้ว่า ก่อนตรวจควรเตรียมตัวอย่างไร ตรวจโรคอะไรบ้าง ตรวจเมื่อไหร่ถึงแม่น และต้องทำอย่างไรต่อหลังจากรู้ผล

ทำไมต้องตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์?
การตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) ก่อนเริ่มความสัมพันธ์ทางเพศกับคนใหม่ ไม่ใช่แค่ “เพื่อความมั่นใจ” เท่านั้น แต่ยังเป็น การรับผิดชอบต่อสุขภาพของทั้งตัวเราเองและคู่ของเรา เพราะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หลายชนิดสามารถ ติดต่อได้แม้ไม่มีอาการใด ๆ เลย ในระยะแรก และคนจำนวนมากอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังแพร่เชื้ออยู่
1. โรคติดต่อหลายชนิด “เงียบ” แต่แพร่เชื้อได้
ข้อมูลจาก Centers for Disease Control and Prevention (CDC) ระบุว่าโรคอย่างเช่น Chlamydia และ Gonorrhea (หนองในแท้/เทียม) กว่า 70% ของผู้หญิงที่ติดเชื้อ ไม่มีอาการใด ๆ เลย แต่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ เช่นเดียวกับไวรัส HPV หรือเริมอวัยวะเพศ ที่สามารถถ่ายทอดผ่านผิวสัมผัส แม้จะไม่มีตุ่มหรือแผลให้เห็นชัดเจน
อ้างอิงข้อมูลจาก CDC – STDs: Chlamydia
2. การตรวจเท่ากับลดความเสี่ยง และสร้างความปลอดภัยให้กับความสัมพันธ์
ในเชิงจิตวิทยา การพูดคุยและตรวจสุขภาพทางเพศก่อนเริ่มความสัมพันธ์ใหม่ ยังช่วยสร้าง “ความเชื่อใจ” ได้อย่างแท้จริง มันแสดงให้เห็นว่า “เราใส่ใจ” ไม่ใช่แค่สุขภาพของตัวเอง แต่ยังใส่ใจอีกฝ่าย และยินดีที่จะมีความสัมพันธ์แบบมีความรับผิดชอบร่วมกัน
3. ไม่ใช่แค่เรื่องของ “เซ็กส์” แต่คือเรื่องของ “ชีวิต”
บางโรค เช่น HIV หรือไวรัสตับอักเสบบี หากไม่รู้ตัวและปล่อยไว้นาน อาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือโรคตับเรื้อรังได้
ในทางกลับกัน ถ้าตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก ๆ ก็สามารถเข้าสู่การรักษาได้เร็ว มีโอกาสควบคุมโรคหรือรักษาหายได้สูง เช่น ซิฟิลิสและหนองในที่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะได้ดี
4. การตรวจโรคไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่คือการดูแลตัวเอง และคนอื่นอย่างมีความรับผิดชอบ
ในยุคที่ข้อมูลสุขภาพเข้าถึงง่าย และคลินิกจำนวนมากสามารถให้บริการตรวจแบบส่วนตัว รวดเร็ว และไม่ซับซ้อน การตรวจโรคก่อนมีเพศสัมพันธ์จึงควรถูกมองว่าเป็น “ส่วนหนึ่งของการวางแผนชีวิตรัก” เหมือนกับการวางแผนตั้งครรภ์ หรือการพูดคุยเรื่องความคาดหวังในความสัมพันธ์
การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ก่อนคือ การป้องกันตัวเอง + ปกป้องคนที่เรารัก เพราะบางโรคไม่ได้แสดงอาการ และการตรวจเชิงรุกสามารถเปลี่ยนเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็กที่จัดการได้ทัน
ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรตรวจ “เมื่อไหร่” ถึงจะเชื่อถือได้?
หลายคนอาจสงสัยว่า “ตรวจเมื่อไหร่ถึงจะมั่นใจว่าไม่ติดเชื้อจริงๆ?” เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะโรคแต่ละชนิดมีช่วงเวลาที่เรียกว่า ระยะฟักตัว (Window Period) ไม่เท่ากัน การตรวจเร็วเกินไปหลังความเสี่ยงอาจทำให้ผลที่ได้ไม่น่าเชื่อถือพอ และอาจต้องตรวจซ้ำอีกครั้งในอนาคต
ระยะเวลาที่เหมาะสมในการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ยอดนิยม
- HIV (เอชไอวี)
- ตรวจได้เร็วสุด 10 วันหลังเสี่ยง (ตรวจแบบ HIV PCR)
- ตรวจได้เร็วสุด 14 วันหลังเสี่ยง (ตรวจแบบ 4th Generation)
- ข้อมูลอ้างอิงจาก CDC HIV Testing
- ซิฟิลิส (Syphilis)
- ตรวจได้ตั้งแต่ 2-4 สัปดาห์หลังมีความเสี่ยง
- แม่นยำสูงสุดที่ 3 เดือนหลังเสี่ยง
- หนองในแท้/เทียม (Gonorrhea/Chlamydia)
- ตรวจพบได้เร็วที่สุดภายใน 1–7 วันหลังเสี่ยง (PCR Urine Test)
- เริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes)
- ตรวจแม่นยำที่สุดเมื่อมีอาการ (ตุ่มน้ำใส หรือแผล)
- หากไม่มีอาการ อาจต้องรอ 4–6 สัปดาห์ถึงจะตรวจพบในเลือด
- HPV (Human Papillomavirus)
- ตรวจเมื่อมีอาการชัดเจน (หูดหงอนไก่) หรือตรวจคัดกรองเชื้อ HPV ที่ปากมดลูกสำหรับผู้หญิง
- ตรวจทันทีหลังเสี่ยงไม่ได้ผลดีนัก เนื่องจากการตรวจ HPV มักเน้นที่การคัดกรองระยะยาว (เช่นทุก 1–3 ปี)
- ไวรัสตับอักเสบ B และ C (Hepatitis B/C)
ตัวอย่างการวางแผนตรวจ (สำหรับคนที่มีความเสี่ยงสูง/เริ่มคบกับคนใหม่)
- ทันที (0-7 วันหลังมีเพศสัมพันธ์)
- ตรวจหนองใน (Gonorrhea, Chlamydia)
- ตรวจเลือดเบื้องต้น (สำหรับโรคที่เคยมีความเสี่ยงในอดีต เช่น HIV ซิฟิลิส)
- หลังเสี่ยง 1 เดือน
- หลังเสี่ยง 3 เดือน
- ตรวจ HIV (Rapid test หรือ ELISA)
- ตรวจไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C)
- ตรวจซ้ำทุก 6 เดือน-1 ปี
การตรวจครั้งเดียวอาจไม่เพียงพอ หากยังมีพฤติกรรมเสี่ยงอยู่เรื่อยๆ การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอทุก 3-6 เดือน จะช่วยเพิ่มความมั่นใจและความปลอดภัยในระยะยาวมากขึ้น
ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ต้องตรวจโรคอะไรบ้างถึงจะ “ครอบคลุม”
ในความเป็นจริง รายการตรวจที่แพทย์แนะนำมักขึ้นอยู่กับพฤติกรรมเสี่ยง รูปแบบความสัมพันธ์ และปัจจัยส่วนตัวอื่นๆ ด้วย แต่โดยทั่วไปแล้ว นี่คือรายการที่ควรตรวจเพื่อความปลอดภัยและครอบคลุมสูงสุดก่อนมีเพศสัมพันธ์กับคนใหม่ หลายคนอาจสงสัยว่า “ตรวจอะไรบ้าง ถึงจะเรียกว่าครอบคลุมทุกความเสี่ยง?”
รายการ ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่แนะนำ (Standard STI Screening)
- HIV (เอชไอวี) ตรวจเลือด (Anti-HIV/Ag-Ab rapid test หรือ ELISA)
- ซิฟิลิส (Syphilis) ตรวจเลือด (VDRL หรือ TPHA)
- หนองในแท้ (Gonorrhea) และ หนองในเทียม (Chlamydia) ตรวจปัสสาวะ หรือเก็บตัวอย่างจากช่องคลอด/ทวารหนัก (PCR)
- ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) ตรวจเลือด (HBsAg, Anti-HBs, Anti-HBc)
- ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C) ตรวจเลือด (Anti-HCV)
- เริมอวัยวะเพศ (Genital Herpes) (กรณีมีอาการหรือต้องการความมั่นใจเพิ่ม) ตรวจเลือด (HSV-IgG/IgM)
- เชื้อ HPV (เฉพาะผู้หญิงหรือผู้มีปัจจัยเสี่ยง) ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Pap smear) และตรวจ HPV DNA test (กรณีมีประวัติเสี่ยงสูง หรืออายุเกิน 30 ปี)
ตรวจเพิ่มเติม (ขึ้นกับความเสี่ยงเฉพาะ)
การตรวจกลุ่มเพิ่มเติมเหล่านี้ แพทย์มักแนะนำเฉพาะในผู้มีปัจจัยเสี่ยงเฉพาะกลุ่ม หรือมีอาการบางอย่างเท่านั้น
ต้องงดอะไรบ้างก่อนตรวจ?
ก่อนที่คุณจะไปตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) มีข้อควรปฏิบัติบางอย่างที่ควรรู้ เพื่อให้ผลตรวจที่ได้ออกมาแม่นยำที่สุด และไม่ต้องเสียเวลาตรวจซ้ำโดยไม่จำเป็น มีดังนี้
1. งดมีเพศสัมพันธ์ก่อนมาตรวจ 48–72 ชั่วโมง
- เพื่อให้แพทย์สามารถเก็บตัวอย่างที่แม่นยำ เช่น ตัวอย่างปัสสาวะ หรือสารคัดหลั่งจากช่องคลอดหรือท่อปัสสาวะ
- การมีเพศสัมพันธ์ใกล้กับช่วงตรวจเกินไป อาจทำให้ผลตรวจไม่แม่นยำ เพราะเชื้ออาจถูกชะล้างออกไป หรือมีสิ่งเจือปนอื่นๆ ปะปนมากับตัวอย่างที่เก็บได้
2. งดปัสสาวะ 1–2 ชั่วโมง ก่อนการตรวจโรคหนองในแท้/เทียม
- การตรวจหนองในแท้ (Gonorrhea) และหนองในเทียม (Chlamydia) มักใช้วิธีเก็บตัวอย่างปัสสาวะเป็นหลัก
- การงดปัสสาวะก่อนตรวจอย่างน้อย 1 ชั่วโมง จะช่วยให้ผลตรวจแม่นยำขึ้น (ปัสสาวะที่ออกมาในช่วงแรกจะมีความเข้มข้นของเชื้อสูงที่สุด)
3. งดล้างหรือสวนล้างช่องคลอดก่อนมาตรวจอย่างน้อย 24 ชั่วโมง (สำหรับผู้หญิง)
- การสวนล้างช่องคลอดด้วยน้ำยาทำความสะอาดหรือสบู่ก่อนตรวจ จะทำให้สารคัดหลั่งในช่องคลอดผิดปกติ อาจทำให้ตรวจไม่เจอเชื้อที่แท้จริง
- ควรอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายตามปกติ แต่ไม่ควรสวนล้างภายใน
4. งดใช้ยาฆ่าเชื้อ ยาปฏิชีวนะ หรือสอดยาในช่องคลอด
- หากคุณกำลังใช้ยาปฏิชีวนะ หรือเพิ่งใช้ไปไม่นาน ควรแจ้งแพทย์ เพราะยาปฏิชีวนะบางตัวอาจทำให้ผลตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นลบปลอม (false-negative)
- กรณีใช้ยาสอดฆ่าเชื้อควรรอประมาณ 48–72 ชั่วโมงก่อนมาตรวจเช่นกัน
5. ไม่จำเป็นต้องงดอาหารหรือเครื่องดื่มก่อนตรวจ (ยกเว้นตรวจเลือดเฉพาะบางรายการ)
- โดยทั่วไป การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไม่จำเป็นต้องงดอาหารหรือเครื่องดื่ม
- ยกเว้นในกรณีที่ตรวจเลือดพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจสุขภาพประจำปีร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการตรวจทุกครั้ง
6. เตรียมข้อมูลประวัติเสี่ยง และคำถามที่ต้องการทราบเพิ่มเติมไว้ล่วงหน้า
- เพื่อให้แพทย์สามารถแนะนำชุดตรวจและวิธีตรวจที่เหมาะสมที่สุดกับคุณได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
หากเผลอมีเพศสัมพันธ์ หรือไม่ได้ทำตามคำแนะนำก่อนตรวจ ควรแจ้งแพทย์ก่อนตรวจเสมอ เพราะแพทย์อาจแนะนำให้รอหรือเลื่อนการตรวจออกไป เพื่อให้ได้ผลตรวจที่แม่นยำที่สุดครับ
ต้องเตรียมใจยังไงก่อนตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
การตรวจอาจทำให้หลายคนรู้สึกกังวลหรือหวาดกลัวกับผลที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ปกติและเกิดขึ้นได้กับทุกคน สิ่งที่ควรทำเพื่อจัดการกับความรู้สึก และเตรียมใจให้พร้อมก่อนเข้ารับการตรวจ
1. จำไว้ว่า “การตรวจ = การดูแลตัวเอง”
หลายคนอาจกลัวที่จะรู้ผลตรวจ เพราะกังวลว่าถ้าผลออกมาเป็นบวกจะต้องทำอย่างไร แต่ที่จริงแล้ว การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไม่ใช่การตัดสินว่าเราทำผิดพลาด แต่คือการแสดงออกถึงการดูแลและรับผิดชอบต่อตัวเองและคู่นอนอย่างดีที่สุด
2. เข้าใจว่าผล “บวก” ไม่ใช่จุดจบ
หากผลตรวจออกมาเป็นบวก ไม่ว่าจะโรคใดก็ตาม อย่าลืมว่าปัจจุบันวิทยาการทางการแพทย์ก้าวหน้ามาก โรคหลายชนิด เช่น หนองใน ซิฟิลิส รักษาให้หายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ
แม้แต่ HIV หรือโรคที่ยังรักษาไม่หายขาด ก็สามารถรักษาได้ด้วยยาต้านไวรัสที่ทำให้มีชีวิตยืนยาว สุขภาพดี และไม่แพร่เชื้อสู่คนอื่น (Undetectable = Untransmittable หรือ U=U)
3. วางแผน “ถ้าผลตรวจเป็นบวก” เอาไว้ล่วงหน้า
หนึ่งในวิธีที่ช่วยให้คุณสบายใจได้มากขึ้น คือเตรียมแผนล่วงหน้าไว้ก่อนว่า ถ้าผลตรวจออกมาเป็นบวกจะทำอย่างไรต่อ เช่น
- นัดพบแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาโดยเร็วที่สุด
- วางแผนการพูดคุยหรือแจ้งให้คู่นอนรับทราบด้วยวิธีที่เหมาะสมและปลอดภัย
4. พูดคุยหรือปรึกษากับคนที่ไว้ใจได้ก่อนตรวจ
หากคุณรู้สึกเครียดหรือกังวลมากๆ ก่อนตรวจ การพูดคุยหรือแชร์กับคนที่คุณไว้ใจ จะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและมีกำลังใจมากขึ้น
5. เลือกคลินิกหรือสถานที่ตรวจที่ให้ความรู้สึกสบายใจ
การเลือกคลินิกหรือสถานที่ที่เจ้าหน้าที่ให้การดูแลและคำปรึกษาอย่างมืออาชีพ ช่วยให้คุณรู้สึกปลอดภัยและสบายใจขึ้นมาก คลินิกเฉพาะทาง เช่น Safe Clinic มีบริการให้คำปรึกษาและดูแลอย่างเป็นกันเอง ช่วยลดความวิตกกังวลในการตรวจได้เป็นอย่างดี
การไปตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่คือการดูแลตัวเองและคนที่คุณรัก ยิ่งตรวจเร็ว ยิ่งรู้เร็ว ก็ยิ่งดูแลตัวเองได้เร็วและดีที่สุดครับ
ไปตรวจที่ไหนดี? ต้องนัดไหม?
การเลือกสถานที่ตรวจให้เหมาะสม เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะทำให้คุณรู้สึกสบายใจ มั่นใจ และได้รับการดูแลที่ถูกต้องครบถ้วนที่สุด
แต่ละสถานที่แตกต่างกันอย่างไร และควรเลือกไปตรวจที่ไหน ถึงจะเหมาะกับตัวคุณมากที่สุด
เหมาะกับ
- ผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว สะดวกสบาย และคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
- คนที่ต้องการผลเร็ว หรือบริการที่เน้นความสะดวก
ต้องนัดหรือไม่?
- เซฟ คลินิก เปิดทุกวัน ไม่มีวันหยุด เราพร้อมให้บริการคุณตั้งแต่เที่ยง ถึง สามทุ่ม รับเคสสุดท้ายสองทุ่มครึ่ง สำหรับการตรวจ STD แต่สำหรับการพบแพทย์แนะนำให้เข้ามาได้ตั้งแต่ เที่ยงครึ่งถึงสองทุ่มครึ่ง
จุดเด่น:
- บริการเฉพาะด้าน โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยตรง
- ให้คำปรึกษาที่ละเอียด และผลตรวจที่รวดเร็ว
- มีบริการตรวจและรักษาครบวงจรในที่เดียว
2. โรงพยาบาลเอกชน
เหมาะกับ:
- คนที่ต้องการตรวจสุขภาพทางเพศร่วมกับการตรวจสุขภาพอื่นๆ ในเวลาเดียวกัน
- คนที่มีประกันสุขภาพเอกชน หรือมีสิทธิ์ส่วนลดโรงพยาบาล
ต้องนัดหรือไม่?:
- ควรนัดหมายล่วงหน้า เพื่อความสะดวกและไม่ต้องรอนาน
- โรงพยาบาลเอกชนส่วนใหญ่มักมีคิวแน่นในช่วงเช้า
จุดเด่น:
- มีห้องแล็บและอุปกรณ์ที่ทันสมัย พร้อมตรวจโรคได้หลายชนิดพร้อมกัน
- สามารถตรวจสุขภาพทั่วไปเพิ่มเติมร่วมด้วยได้เลยในครั้งเดียว
3.โรงพยาบาลรัฐ หรือศูนย์บริการสาธารณสุข
เหมาะกับ:
- คนที่มีงบประมาณจำกัด ต้องการบริการราคาย่อมเยา
- ผู้ที่มีสิทธิ์ประกันสังคม บัตรทอง หรือสิทธิ์อื่นๆ ในการตรวจสุขภาพฟรีหรือราคาถูก
ต้องนัดหรือไม่?:
- มักให้บริการแบบ Walk-in ได้ แต่แนะนำให้ไปแต่เช้าหรือโทรสอบถามก่อน เพราะอาจมีผู้รับบริการจำนวนมาก
จุดเด่น:
- ราคาถูก หรือฟรีในกรณีใช้สิทธิ์บัตรทองหรือประกันสังคม
- มาตรฐานการตรวจสูง เชื่อถือได้ แต่ผลตรวจอาจต้องรอนานกว่าโรงพยาบาลเอกชนหรือคลินิกเฉพาะทาง
4. ชุดตรวจเองที่บ้าน (Home Test Kits)
เหมาะกับ:
- ผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูงสุด ไม่สะดวกเดินทาง หรือยังเขินอายไม่กล้าไปตรวจที่คลินิก
ต้องนัดหรือไม่?:
- ไม่ต้องนัด สามารถสั่งออนไลน์มาใช้ที่บ้านได้เอง
จุดเด่น:
- ความเป็นส่วนตัวสูง แต่ความแม่นยำจำกัดอยู่เฉพาะโรคบางชนิด เช่น HIV เท่านั้น
- หากผลเป็นบวก จำเป็นต้องไปตรวจยืนยันที่สถานพยาบาลอีกครั้งเสมอ
หมายเหตุ: ควรเลือกชุดตรวจที่ผ่านการรับรองจาก อย. หรือหน่วยงานทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้เท่านั้น เพื่อความแม่นยำและปลอดภัยสูงสุด
สถานที่แต่ละแห่งมีข้อดีแตกต่างกัน ควรเลือกตามความสะดวก ความพร้อมด้านงบประมาณ และความต้องการส่วนตัว หากไม่มั่นใจหรือสงสัยว่าควรเลือกแบบไหน ลองปรึกษาคลินิกเฉพาะทางก่อนเพื่อช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เองที่บ้านได้ไหม?
หนึ่งในทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้น คือการใช้ “ชุดตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เองที่บ้าน (Home Test Kits)” ซึ่งหลายคนเลือกวิธีนี้เพราะให้ความเป็นส่วนตัวสูง สะดวก และรวดเร็ว แต่คำถามสำคัญคือ ชุดตรวจเหล่านี้แม่นยำแค่ไหน ใช้แทนการตรวจที่คลินิกได้เลยหรือเปล่า?
อย่างไรก็ตามควรรู้ถึง ข้อดี-ข้อเสีย เพื่อให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นก่อนจะเลือกใช้ชุดตรวจเองที่บ้าน
ข้อดีของชุดตรวจเองที่บ้าน
- ความเป็นส่วนตัวสูง: เหมาะสำหรับผู้ที่เขินอาย ไม่สะดวกใจเดินทางไปตรวจที่คลินิก หรือไม่ต้องการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว
- สะดวกและรวดเร็ว: สามารถตรวจได้ทันทีเมื่อสงสัย ไม่ต้องเดินทางไปที่คลินิก หรือรอคิวนานๆ
- ลดความวิตกกังวลในเบื้องต้น: เหมาะกับการตรวจเบื้องต้น เพื่อคลายความสงสัยหรือความกังวลเฉพาะหน้า เช่น ชุดตรวจ HIV แบบ rapid test ที่ให้ผลได้ภายใน 20–30 นาที
ข้อจำกัดและข้อเสียของชุดตรวจเองที่บ้าน
- ตรวจได้เฉพาะบางโรค: ชุดตรวจที่มีขายทั่วไปมักตรวจได้แค่บางโรค เช่น HIV หรือซิฟิลิสเป็นหลัก โรคที่สำคัญอื่นๆ เช่น หนองในแท้/เทียม, HPV, เริม, ไวรัสตับอักเสบ อาจไม่มีชุดตรวจที่มีความแม่นยำเพียงพอวางขายทั่วไป
- อาจต้องตรวจซ้ำที่สถานพยาบาล: หากผลตรวจที่บ้านออกมาเป็นบวก หรือมีข้อสงสัย แนะนำว่าต้องไปตรวจยืนยันที่คลินิกหรือโรงพยาบาลเสมอ เพราะชุดตรวจที่บ้านอาจมีโอกาสผิดพลาดได้ (false-positive หรือ false-negative)
- การเก็บตัวอย่างเองอาจมีความผิดพลาด: หากเก็บตัวอย่างไม่ถูกต้อง ผลตรวจอาจคลาดเคลื่อน โดยเฉพาะการเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งหรือปัสสาวะที่ต้องทำตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัด
ชุดตรวจที่นิยมใช้เองที่บ้าน (ที่มีความแม่นยำสูง)
- ชุดตรวจ HIV Rapid Test: เป็นชุดตรวจที่มีความแม่นยำสูงหากใช้อย่างถูกวิธี ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และหน่วยงานสาธารณสุขหลายประเทศ แต่ผลบวกจำเป็นต้องไปตรวจยืนยันอีกครั้งที่สถานพยาบาล
- ชุดตรวจซิฟิลิส (Syphilis Rapid Test): บางชุดที่ได้มาตรฐานมีความแม่นยำค่อนข้างสูง แต่ก็เช่นเดียวกันกับ HIV คือหากมีผลบวกต้องตรวจยืนยันอีกครั้งโดยแพทย์
ข้อควรระวังที่ต้องจำ
- เลือกซื้อชุดตรวจที่ผ่านการรับรองจาก อย. หรือองค์การอนามัยโลกเท่านั้น
- หากชุดตรวจมีราคาถูกผิดปกติ หรือไม่มีแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ ควรหลีกเลี่ยง
- ใช้ชุดตรวจที่บ้านสำหรับการตรวจเบื้องต้นเท่านั้น หากยังไม่มั่นใจหรือมีผลบวก ต้องตรวจยืนยันกับแพทย์เสมอ
ชุดตรวจเองที่บ้านเหมาะสำหรับการตรวจเบื้องต้น และคนที่ยังไม่สะดวกเดินทางไปสถานพยาบาล แต่ไม่สามารถแทนการตรวจที่คลินิกหรือโรงพยาบาลได้ 100% หากคุณต้องการผลที่มั่นใจที่สุด แนะนำให้ไปตรวจที่สถานพยาบาลโดยตรง
ถ้าผลตรวจออกมาเป็นบวก ต้องทำยังไง?
ผลตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ออกมา “เป็นบวก” อาจทำให้ใครหลายคนรู้สึกช็อก เครียด กลัว หรือสับสนว่าจะจัดการกับสถานการณ์ต่อไปอย่างไรดี แต่ให้จำไว้ว่าการรู้เร็ว = รักษาได้เร็ว และการติดเชื้อ ไม่ใช่จุดจบของทุกอย่าง
แนวทางที่ถูกต้องที่คุณควรปฏิบัติเมื่อผลตรวจออกมา “พบเชื้อ”
1. อย่าตกใจ – ตั้งสติ และยืนยันผลอีกครั้ง
- บางครั้งผลตรวจเบื้องต้นอาจให้ผล “บวกปลอม (false positive)” ได้ ดังนั้นหากคุณตรวจด้วย rapid test หรือ home test ควรไปตรวจยืนยันที่สถานพยาบาลอีกครั้ง เช่นด้วย ELISA, PCR หรือวิธี confirmatory อื่นๆ
- การตรวจยืนยันจะช่วยให้คุณมั่นใจ และได้รับคำแนะนำจากแพทย์เฉพาะทางอย่างถูกต้อง เช่นกรณี HIV: การตรวจ rapid test ที่บ้านพบผลบวก ต้องยืนยันด้วยการตรวจ Antigen/Antibody อย่างน้อย 2 ครั้งจึงจะวินิจฉัยว่าติดเชื้อจริง
2. พบแพทย์เพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษา
- แทบทุกรูปแบบของ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีวิธีรักษา:
- ซิฟิลิส / หนองใน / แผลริมอ่อน รักษาให้หายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ
- HIV / เริม / HPV / ไวรัสตับอักเสบ ไม่สามารถรักษาให้หายขาด แต่ควบคุมและมีชีวิตปกติได้ด้วยยาและการติดตามอย่างต่อเนื่อง
- การพบแพทย์เร็ว = เริ่มรักษาเร็ว = ลดโอกาสแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น และลดผลกระทบระยะยาว
อ้างอิงข้อมูล: CDC – STD Treatment Guidelines
3. งดมีเพศสัมพันธ์ชั่วคราว
- ระหว่างที่คุณรอผลยืนยัน หรือกำลังอยู่ในกระบวนการรักษา แนะนำให้งดมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนทุกคน (หรือใช้ถุงยางอนามัย 100%) เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่เชื้อ
- ในบางโรค เช่น ซิฟิลิส และเริม แม้ไม่มีอาการ ก็ยังสามารถแพร่เชื้อได้
4. แจ้งคู่นอนเก่าและปัจจุบันด้วยวิธีที่ปลอดภัย
- การแจ้งให้คู่นอนที่เกี่ยวข้องทราบว่าคุณมีการติดเชื้อ ไม่ใช่การ “กล่าวหา” หรือ “ตำหนิ” แต่คือการรับผิดชอบและให้โอกาสพวกเขาได้ไปตรวจและรักษาเช่นเดียวกัน
- ปัจจุบันหลายคลินิกมีบริการช่วยแจ้งคู่นอนโดยไม่เปิดเผยตัว (anonymous partner notification) หรือแนะนำวิธีพูดอย่างปลอดภัย
5. อย่ารู้สึกผิด ใช้โอกาสนี้ดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง
- การรู้ว่าตัวเองติดเชื้อ ไม่ได้แปลว่าคุณเป็น “คนไม่ดี” หรือ “ไม่น่าคบ” ทุกคนมีความเสี่ยงได้ และการดูแลตัวเองคือสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณทำได้ต่อจากนี้
- หลายคนที่รู้ผลเร็วและเข้าสู่ระบบรักษาอย่างต่อเนื่อง สามารถมีชีวิตรักที่มั่นคง มีความสัมพันธ์ใหม่ที่ปลอดภัย และใช้ชีวิตได้ตามปกติ
ถ้าผลตรวจของคุณออกมาเป็นบวก จงรู้ไว้ว่าคุณยังมี “ทางเลือก” มากมายอยู่ตรงหน้า ทั้งเรื่องการรักษา การป้องกันการแพร่เชื้อ และการมีชีวิตที่ดีในแบบที่คุณต้องการ การรับรู้เร็ว = คือก้าวแรกของการควบคุมได้ และการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยในอนาคต
ตรวจครั้งเดียวพอไหม? ต้องตรวจซ้ำอีกหรือเปล่า?
หลังจากตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ครั้งแรก หลายคนอาจสงสัยว่า “ถ้าผลเป็นลบ แปลว่าเราปลอดภัยแน่นอนแล้วหรือยัง?” ไม่เสมอไป เพราะแม้ผลตรวจจะเป็นลบในครั้งแรก แต่ก็อาจเป็น “ลบหลอก” ได้ หากตรวจเร็วเกินไปก่อนที่ร่างกายจะสร้างสารบ่งชี้การติดเชื้อขึ้นมา
ทำไมบางครั้งต้อง “ตรวจซ้ำ”?
- ช่วงฟักตัวของเชื้อ (Window Period): โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หลายโรคมีระยะฟักตัว เช่น HIV อาจต้องใช้เวลา 2–12 สัปดาห์ กว่าร่างกายจะสร้างสารที่ตรวจพบได้ หากคุณตรวจเร็วเกินไป อาจยังตรวจไม่เจอเชื้อ แม้จะติดแล้วจริงๆ
- มีพฤติกรรมเสี่ยงระหว่างรอผล: ถ้าหลังจากตรวจครั้งแรก คุณยังคงมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือมีคู่นอนหลายคน คุณควร “ตรวจซ้ำ” เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ติดเชื้อใหม่ในช่วงเวลานั้น
- ใช้ชุดตรวจแบบ rapid test ที่บ้าน: แม้จะสะดวก แต่บางกรณีให้ผลผิดพลาดได้ การตรวจซ้ำที่สถานพยาบาลโดยใช้วิธี confirmatory test ช่วยเพิ่มความแม่นยำ
แนะนำ “ความถี่” ของการตรวจ STI สำหรับคนทั่วไป
|
กลุ่มความเสี่ยง
|
ความถี่ในการตรวจที่แนะนำ
|
|---|
|
มีคู่นอนใหม่ หรือเพิ่งเริ่มมีความสัมพันธ์
|
ควรตรวจทันที และตรวจซ้ำอีกครั้งใน 3 เดือน
|
|
มีคู่นอนหลายคน หรือไม่ใช้ถุงยางเป็นประจำ
|
ตรวจทุก 3–6 เดือน
|
|
อยู่ในความสัมพันธ์ระยะยาว และตรวจพร้อมกันกับคู่
|
ปีละ 1 ครั้ง หรือเมื่อมีความเสี่ยงใหม่เกิดขึ้น
|
|
ใช้ PrEP (ยาเพื่อป้องกัน HIV)
|
ตรวจ HIV และโรคอื่นทุก 3 เดือน ตามแนวทาง CDC
|
อ้างอิง: CDC Guidelines for Routine STD Screening
กรณีไหน “ต้อง” ตรวจซ้ำแน่นอน?
- ตรวจเร็วเกินไปหลังเสี่ยง (เช่น ภายใน 7 วันหลังมีเพศสัมพันธ์)
- มีผลตรวจลบแต่ยังมีอาการ เช่น มีตกขาว เจ็บแสบขณะปัสสาวะ หรือมีแผลที่อวัยวะเพศ
- คู่นอนเพิ่งตรวจพบว่าติดเชื้อในช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่คุณมีความสัมพันธ์กัน
การตรวจซ้ำไม่ได้แปลว่า “คุณไม่รอบคอบพอ” แต่คือการยืนยันสุขภาพทางเพศของคุณด้วยความมั่นใจ ตรวจให้ครบ = มั่นใจ = ปลอดภัยทั้งตัวคุณและคนที่คุณรัก
บทสรุป
ก่อนจะมีความสัมพันธ์ทางเพศกับใครใหม่หรือกำลังอยู่ในภาวะเสี่ยง การ “ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์” คือหนึ่งในวิธีดูแลตัวเอง
ไม่ว่าคุณจะเคยตรวจมาก่อนหรือไม่ เคยมีพฤติกรรมเสี่ยงหรือไม่ ถ้าคุณยังไม่เคย “เช็กให้ชัวร์ก” บทความนี้ก็อยากให้คุณรู้ว่า การตรวจ = ความมั่นใจ การรู้เร็ว = การดูแลทัน
หากคุณกำลังคิดว่า “ควรเริ่มต้นยังไงดี?” คลินิกเฉพาะทางอย่าง Safe Clinic ให้บริการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมให้คำปรึกษาอย่างมืออาชีพ ปลอดภัย
หากต้องการนัดหมายเข้ารับบริการหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติม
สามารถจองคิวผ่านเว็บไซต์ หรือ Inbox ทางช่องทาง Social Media ต่างๆ ได้ด้านล่างนี้