ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Virus: HBV) เป็นเชื้อไวรัสที่ส่งผลกระทบต่อ “ตับ” โดยตรง และอาจนำไปสู่ภาวะเรื้อรังที่รุนแรง เช่น ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง
ประเทศไทยจัดเป็นหนึ่งในประเทศที่มีผู้ติดเชื้อ HBV เรื้อรังในระดับสูงโดยเฉพาะจากแม่สู่ลูก และผู้ที่ได้รับเชื้อตั้งแต่วัยเด็ก โดยที่หลายคนไม่รู้ตัวว่าเป็นพาหะหรือมีเชื้ออยู่ในร่างกาย
เนื้อหาในบทความนี้รวบรวมข้อมูลสำคัญที่ครอบคลุมตั้งแต่ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ HBV สาเหตุ อาการ การวินิจฉัย การรักษา การป้องกัน รวมถึงผลกระทบในระยะยาว เพื่อให้คุณเข้าใจและสามารถดูแลสุขภาพของตนเองและคนรอบข้างได้อย่างถูกต้อง
ไวรัสตับอักเสบบีคืออะไร?
ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Virus หรือ HBV) คือไวรัสชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดการอักเสบของเซลล์ตับ สามารถติดต่อได้ผ่านเลือด (เข็มตำ การสักลายที่ใช้เข็มซ้ำ) เพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน และติดต่อจากมารดาที่ตั้งครรภ์สู่ทารก เป็นหนึ่งในโรคติดต่อที่พบได้บ่อยทั่วโลก โดยเฉพาะในทวีปเอเชีย รวมถึงประเทศไทย
ผู้ติดเชื้อส่วนมากมักจะไม่มีอาการใด ๆ ในช่วงแรก แต่เชื้อไวรัสจะทำให้ตับอักเสบอย่างต่อเนื่อง หากไม่ได้รับการวินิจเฝ้าระวังและรักษาอย่างทันท่วงที เซลล์ตับจะโดนทำลายจนเกิดภาวะตับแข็ง และทำ
ลักษณะของไวรัส
- จัดอยู่ในตระกูล Hepadnaviridae
- มีพันธุกรรมแบบ DNA สายคู่ (partially double-stranded DNA)
- ไวรัสสามารถอยู่ในเลือดได้นานแม้ภายนอกร่างกาย (บนพื้นผิวแห้งนานถึง 7 วัน)
ความสำคัญของโรคไวรัสตับอักเสบบี
- องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้เป็น ปัญหาสาธารณสุขระดับโลก
- ประมาณการณ์ว่าทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อ HBV เรื้อรังกว่า 254 ล้านคน (ข้อมูลปี 2022)
- ในประเทศไทย พบว่ามีผู้ติดเชื้อเรื้อรังประมาณ 3-5 ล้านคน และมีแนวโน้มเกิดมะเร็งตับมากที่สุดในกลุ่มโรคไวรัสตับอักเสบ
สาเหตุที่ควรให้ความสนใจ
- ผู้ติดเชื้อเกือบทั้งหมด ไม่มีอาการ ในระยะแรก
- โรคสามารถ ติดต่อได้แม้ไม่มีอาการ
- กลายเป็นมะเร็งตับ ได้หากไม่รักษา
HBV ต่างจาก A–E อย่างไร?
ไวรัสตับอักเสบมีหลายชนิด ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบ A, ไวรัสตับอักเสบ B, ไวรัสตับอักเสบ C, ไวรัสตับอักเสบ D และ ไวรัสตับอักเสบ E ซึ่งแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันในเรื่องของการติดต่อ ความรุนแรง และการรักษา โดย HBV หรือไวรัสตับอักเสบบี ถือเป็นชนิดที่พบได้บ่อยและมีแนวโน้มกลายเป็นโรคเรื้อรังหรือมะเร็งตับได้มากกว่าชนิดอื่น ๆ
สรุปความแตกต่างไวรัสตับอักเสบแต่ละชนิด
ชนิดไวรัส
|
การติดต่อ
|
โอกาสเป็นเรื้อรัง
|
ความรุนแรง
|
มีวัคซีนหรือไม่
|
---|
A
|
ผ่านอุจจาระที่มีเชื้อ หรือทางเลือด
|
ไม่มี
|
ต่ำ
|
✅ มี
|
B
|
ทางเลือด เพศสัมพันธ์ แม่สู่ลูก
|
✅ มี (โดยเฉพาะติดตั้งแต่เด็ก)
|
สูง
|
✅ มี
|
C
|
เลือด เพศสัมพันธ์ (น้อยกว่า B)
|
✅ มี
|
สูง
|
❌ ไม่มี
|
D
|
ต้องมี HBV ร่วมด้วย (co-infection)
|
✅ มี
|
สูง
|
❌ ไม่มี
|
E
|
อาหาร น้ำปนเปื้อน (คล้าย A)
|
ไม่มี
|
ปานกลาง โดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์
|
❌ ไม่มี
|
จุดเด่นของ HBV ที่แตกต่าง
- เคสเรื้อรัง 90% ติดเชื้อตั้งแต่แรกคลอด
- เสี่ยงตับแข็งและมะเร็งตับสูง
- มีวัคซีนที่ ป้องกันได้เกือบ 100%
HBV Genotype (A–J) คืออะไร?
ไวรัสตับอักเสบบี (HBV) ถูกจำแนกออกเป็นกลุ่มพันธุกรรมย่อยที่เรียกว่า “จีโนไทป์” (Genotype) ตั้งแต่ A ถึง J ซึ่งแต่ละเจโนไทป์จะมีความแตกต่างกันด้านภูมิศาสตร์ ความรุนแรงของโรค การตอบสนองต่อการรักษา และแนวโน้มการเกิดมะเร็งตับ
จีโนไทป์ที่พบได้บ่อยในไทย
- ประเทศไทยพบมากที่สุดคือ Genotype B และ C
- Genotype C มักมีความรุนแรงกว่า และมีโอกาสเกิดภาวะตับแข็งและมะเร็งตับสูงกว่า B
- การตอบสนองต่อ ยาต้านไวรัส ในคนไทยที่มี Genotype C จะช้ากว่า Genotype B
ความสำคัญของการรู้ Genotype
- ช่วยประเมินความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรัง ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ
- ใช้กำหนดแนวทางการรักษา เช่น การเลือกใช้ยาต้านไวรัส หรือ interferon
- อาจมีผลต่อการพยากรณ์โรคในระยะยาว
ประเทศอื่น ๆ พบเจโนไทป์ใดบ้าง?
ทวีป/ภูมิภาค
|
Genotype HBV ที่พบได้บ่อย
|
---|
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
|
B, C
|
แอฟริกา
|
A, E
|
อเมริกาเหนือ
|
A, D, F
|
ยุโรปตะวันตก
|
A, D
|
อเมริกาใต้
|
F, H
|
ช่องทางการติดต่อของ HBV มีอะไรบ้าง?
ไวรัสตับอักเสบบีสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ผ่านหลายช่องทาง ซึ่งบางรูปแบบอาจไม่แสดงอาการในทันที ทำให้ผู้ติดเชื้อไม่รู้ตัว และแพร่เชื้อต่อโดยไม่ตั้งใจ
ช่องทางการติดต่อหลักของ HBV
- ทางเลือด เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การสัก/เจาะร่างกายด้วยอุปกรณ์ที่ปนเปื้อนเชื้อ หรือการได้รับเลือด/อวัยวะที่มีเชื้อ
- เพศสัมพันธ์ โดยไม่สวมถุงยางอนามัย
- จากแม่สู่ลูก ขณะคลอด หรือในระหว่างตั้งครรภ์ในบางกรณี
- การใช้ของส่วนตัวร่วมกัน เช่น ที่โกนหนวด กรรไกรตัดเล็บที่มีเลือด
- การสัมผัสกับสารคัดหลั่ง โดยเฉพาะหากมีบาดแผลหรือเยื่อเมือกสัมผัสเชื้อ
ติดต่อผ่านการจูบ/น้ำลายได้ไหม?
- การจูบไม่ทำให้ติดเชื้อ HBV
การติดเชื้อ HBV มีกี่ระยะ?
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถแบ่งออกเป็นหลายระยะ ตั้งแต่การติดเชื้อเฉียบพลันไปจนถึงการติดเชื้อเรื้อรัง และภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น ตับแข็งหรือมะเร็งตับ
ระยะของการติดเชื้อ HBV
- ระยะฟักตัว
- ช่วงเวลาตั้งแต่รับเชื้อจนเริ่มแสดงอาการ
- โดยทั่วไปอยู่ที่ 60-150 วัน (เฉลี่ยประมาณ 90 วัน)
- ระยะเฉียบพลัน
- เด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี หรือผู้ที่ภูมิต้านทานต่ำมักจะไม่แสดงอาการ
- ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่สามารถกำจัดไวรัสได้เอง
- ระยะเรื้อรัง
- หากติดเชื้อตั้งแต่แรกคลอด โอกาสเป็นระยะเรื้อรัง 90%
- หากติดเชื้อในช่วงอายุ 1-5 ปี โอกาสเป็นระยะเรื้อรัง 30%
- หากติดเชื้อตอนโต โอกาสเป็นระยะเรื้อรัง 5%
- ระยะตับแข็ง/มะเร็งตับ
- เกิดจากการอักเสบเรื้อรังที่ทำลายตับเป็นเวลานาน
- ตับแข็งอาจไม่มีอาการในระยะแรก แต่จะนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ท้องมาน น้ำในช่องท้อง หรือมะเร็งตับ
HBV Carrier คืออะไร?
HBV Carrier หมายถึงผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีอยู่ในร่างกายโดยไม่แสดงอาการ และค่าการทำงานของตับยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ยังสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้
ลักษณะของ HBV Carrier
- ตรวจพบ HBsAg (Hepatitis B surface antigen) ในเลือดต่อเนื่องนานกว่า 6 เดือน
- ไม่มีอาการ
- ค่าการทำงานของตับ (ALT, AST) ปกติ
- ปริมาณไวรัสในเลือดต่ำหรืออาจไม่มี
HBV Carrier มีกี่แบบ?
- Inactive Carrier
- มีไวรัสอยู่ในเลือดปริมาณต่ำมากหรือไม่ตรวจพบเลย
- ไม่ทำลายตับ แต่ยังสามารถแพร่เชื้อได้
- ต้องตรวจติดตามเป็นระยะ
- Active Carrier (HBeAg-negative chronic hepatitis B)
- แม้ไม่มีอาการ แต่ไวรัสยังแบ่งตัว
- มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ตับแข็ง
- อาจต้องได้รับยารักษา
HBV Carrier ต้องรักษาไหม?
- ถ้าเป็น Inactive Carrier โดยไม่มีการอักเสบของตับหรือไวรัสแบ่งตัวมาก ยังไม่จำเป็นต้องรักษา แต่ต้องติดตามผลเลือดทุก 6-12 เดือน
- หากพบว่าค่าการทำงานของตับเริ่มผิดปกติ หรือปริมาณไวรัสเพิ่มขึ้น แพทย์อาจพิจารณาให้ยาต้านไวรัส
อาการของไวรัสตับอักเสบบีมีอะไรบ้าง?
ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีอาจไม่มีอาการเลยในระยะแรก โดยเฉพาะในเด็กเล็ก หรืออาจมีอาการคล้ายไข้หวัด ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ จึงตรวจพบในระยะที่ตับเริ่มถูกทำลายไปแล้ว
อาการระยะเฉียบพลัน
- เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
- เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดตามข้อ
- ตัวเหลือง ตาเหลือง
- ปัสสาวะสีโคล่า
- อุจจาระซีด
- ไข้
หมายเหตุ: อาการจะเกิดขึ้นภายใน 1–4 เดือนหลังได้รับเชื้อ และมักหายได้เองในผู้ใหญ่ที่มีภูมิคุ้มกันดี
อาการระยะเรื้อรัง
- ไม่มีอาการ หรือมีเพียงอ่อนเพลียเรื้อรัง
- บางรายเริ่มมีค่าการทำงานของตับผิดปกติ
- หากไม่ได้รับการรักษา อาจกลายเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับ
การตรวจไวรัสตับอักเสบบีมีกี่แบบ?
การวินิจฉัยว่าเป็นไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ ต้องอาศัยการตรวจเลือด เพื่อประเมินทั้งการติดเชื้อ ระยะของโรค การทำงานของตับ และปริมาณไวรัสในร่างกาย ซึ่งจำเป็นต่อการวางแผนรักษาและติดตามอาการในระยะยาว
การตรวจที่ใช้วินิจฉัย HBV
- HBsAg (Hepatitis B surface antigen)
- ใช้ตรวจว่ามีเชื้อ HBV อยู่ในร่างกายหรือไม่
- หากพบเป็นบวก > 6 เดือน = การติดเชื้อเรื้อรัง
- Anti-HBs (Hepatitis B surface antibody)
- บ่งบอกว่ามีภูมิคุ้มกันต่อ HBV
- เกิดจากการฉีดวัคซีนหรือหายจากการติดเชื้อมาก่อน
- HBeAg (Hepatitis B e antigen)
- บ่งบอกว่าไวรัสกำลังแบ่งตัวอยู่
- ยิ่งค่า HBeAg สูง ยิ่งมีโอกาสแพร่เชื้อมาก
- Anti-HBe (Hepatitis B e antibody)
- บ่งชี้ว่าร่างกายเริ่มควบคุมเชื้อได้
- ใช้ประเมินการเปลี่ยนแปลงของโรค
- HBV DNA
- ตรวจปริมาณไวรัสในเลือดโดยตรง
- ใช้ประเมินความรุนแรงและติดตามผลการรักษา
- Liver Function Test (AST, ALT)
- ตรวจค่าการทำงานของตับ
- บ่งชี้ว่าตับอักเสบอยู่หรือไม่
ค่าการทำงานของตับ (AST, ALT) สำคัญอย่างไร?
ค่าการทำงานของตับเป็นตัวบ่งชี้ว่าตับกำลังอักเสบหรือถูกทำลายอยู่หรือไม่ โดยเฉพาะในผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี การตรวจค่านี้ช่วยให้แพทย์ประเมินความรุนแรงของโรค และวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม
AST (Aspartate Aminotransferase)
- พบในหลายอวัยวะ เช่น ตับ หัวใจ กล้ามเนื้อ
- หากมีค่า AST สูง อาจบ่งชี้ว่าตับหรืออวัยวะอื่น ๆ กำลังถูกทำลาย
- ควรแปลผลร่วมกับค่า ALT
ALT (Alanine Aminotransferase)
- เป็นเอนไซม์ที่พบเฉพาะในตับ
- ค่า ALT สูง บ่งชี้ว่าตับกำลังอักเสบหรือตับเซลล์ถูกทำลาย
- เป็นตัวบ่งชี้หลักในการติดตามภาวะตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัส HBV
ค่า AST/ALT ที่น่ากังวล
- ค่า สูงเกินค่าปกติ (โดยเฉพาะ ALT) บ่งชี้ภาวะตับอักเสบ
- ถ้าค่าสูง ต่อเนื่อง หรือมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น = เสี่ยงตับแข็ง/มะเร็งตับ
- แพทย์อาจพิจารณาเริ่มยาต้านไวรัสหากค่า ALT สูงพร้อมกับไวรัสแบ่งตัวมาก
ความรุนแรงของไวรัสตับอักเสบบี: เสี่ยงตับแข็งหรือมะเร็งตับจริงไหม?
ไวรัสตับอักเสบบีเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงหลักที่นำไปสู่ภาวะตับแข็งและมะเร็งตับ โดยเฉพาะในผู้ที่ติดเชื้อเรื้อรังโดยไม่รู้ตัวหรือละเลยการรักษา
ความสัมพันธ์ระหว่าง HBV กับตับแข็ง
- การอักเสบของตับแบบเรื้อรังจาก HBV ทำให้เกิดพังผืดในตับ
- พังผืดสะสมจนตับแข็ง ทำให้การทำงานของตับแย่ลงเรื่อย ๆ
- ตับแข็งนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น ท้องมาน น้ำในช่องท้อง หลอดเลือดขอดในหลอดอาหาร
ความสัมพันธ์ระหว่าง HBV กับมะเร็งตับ
- ผู้ติดเชื้อ HBV เรื้อรัง มีความเสี่ยง มะเร็งตับชนิด Hepatocellular carcinoma (HCC) มากกว่าคนทั่วไป
- โอกาสเสี่ยงจะมากขึ้นในคนที่ HBeAg เป็นบวก หรือมีปริมาณไวรัสสูงในเลือด
- แม้ยังไม่เป็นตับแข็งก็สามารถเป็นมะเร็งตับได้หากมีการอักเสบเรื้อรัง
ปัจจัยเสริมที่เพิ่มความรุนแรง
- การดื่มแอลกอฮอล์
- การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีร่วมด้วย
- การได้รับสารพิษจากเชื้อรา Aflatoxin
- มีประวัติมะเร็งตับในครอบครัว
การติดตามอาการ HBV ต้องตรวจอะไรบ้าง? บ่อยแค่ไหน?
ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โดยเฉพาะผู้ป่วยเรื้อรังหรือผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรได้รับการติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินความรุนแรงของโรคและพิจารณาเริ่มหรือปรับแผนการรักษาให้เหมาะสม
การตรวจที่ควรติดตามเป็นระยะ
- HBV DNA: ตรวจปริมาณไวรัสในเลือดเพื่อดูว่ามีการแบ่งตัวของไวรัสหรือไม่
- ALT, AST: ค่าการทำงานของตับ ตรวจทุก 3-6 เดือน
- HBeAg และ Anti-HBe: เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของไวรัส
- Alpha-fetoprotein (AFP): ค่าบ่งชี้มะเร็งตับ
- อัลตราซาวนด์ตับ (Liver Ultrasound): ตรวจหาก้อนหรือภาวะแทรกซ้อน เช่น ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ
ความถี่ในการติดตาม
- ผู้ป่วยเรื้อรังที่ไม่ได้รับยา: ทุก 3–6 เดือน
- ผู้ป่วยที่รับยาต้านไวรัส: ตรวจติดตามผลทุก 3 เดือนในช่วงแรก จากนั้นทุก 6 เดือน
- ผู้ที่มีตับแข็ง/เสี่ยงมะเร็งตับ: ควรตรวจ AFP และอัลตราซาวนด์ทุก 6 เดือน
วิธีรักษาไวรัสตับอักเสบบีมีอะไรบ้าง?
การรักษาไวรัสตับอักเสบบีมีเป้าหมายเพื่อยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส ลดการอักเสบของตับ ป้องกันการเกิดตับแข็ง และลดความเสี่ยงของมะเร็งตับ แม้ในปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ทุกราย แต่สามารถควบคุมโรคได้ในระยะยาว
แนวทางการรักษาหลัก
- การเฝ้าระวัง (Monitoring Only)
- สำหรับผู้ที่เป็น Inactive Carrier หรือไม่มีภาวะตับอักเสบ
- แพทย์จะนัดตรวจติดตามเป็นระยะทุก 6 เดือน
- การใช้ยาต้านไวรัส (Antiviral Therapy)
- สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะตับอักเสบเรื้อรังจาก HBV
- ยาที่ใช้ ได้แก่:
- Tenofovir disoproxil fumarate (TDF)
- Tenofovir alafenamide (TAF)
- Entecavir (ETV)
- ยาเหล่านี้ช่วยยับยั้งไวรัสได้ดีและมีผลข้างเคียงน้อย
- การใช้ Interferon (Pegylated Interferon alpha)
- เป็นยาฉีดที่กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้จัดการไวรัส
- มีข้อจำกัดเรื่องผลข้างเคียง จึงใช้ในกรณีเฉพาะ
ระยะเวลาการรักษา
- ยาต้านไวรัสส่วนใหญ่ต้องกินต่อเนื่องเป็นระยะยาว
- แพทย์จะประเมินการหยุดยาหลังไวรัสถูกควบคุมและมีภูมิคุ้มกันเพียงพอ
ยาต้านไวรัสตับอักเสบบี มีกี่ชนิด? ต่างกันอย่างไร?
ยาต้านไวรัสเป็นแนวทางหลักในการรักษาไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ช่วยลดปริมาณไวรัสในเลือด ลดการอักเสบของตับ และลดความเสี่ยงในการเกิดตับแข็งหรือมะเร็งตับในระยะยาว โดยยาที่ใช้สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก:
1. ยากลุ่ม Nucleos(t)ide Analogues (รับประทาน)
- Tenofovir disoproxil fumarate (TDF)
- Tenofovir alafenamide (TAF)
- Entecavir (ETV)
ข้อดี:
- กดการแบ่งตัวของไวรัสได้ดี
- ปลอดภัย ใช้ได้ในผู้ป่วยส่วนใหญ่ รวมถึงผู้ที่มีตับแข็ง
- ผลข้างเคียงน้อย
ข้อควรระวัง:
- ต้องกินต่อเนื่องทุกวัน
- ไม่ควรหยุดยาด้วยตนเอง เพราะอาจเกิดไวรัสดื้อยา
2. ยากลุ่ม Interferon (แบบฉีด)
- Pegylated Interferon alpha
ข้อดี:
- กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ทำลายไวรัสเอง
- มีโอกาส “หยุดยา” ได้หากมีการตอบสนองดี
ข้อควรระวัง:
- โอกาสพบผลข้างเคียงสูง เช่น มีไข้ หนาวสั่น ภาวะซึมเศร้า
- ไม่เหมาะกับผู้ที่มีตับแข็ง หญิงตั้งครรภ์
HBV รักษาหายขาดไหม?
การรักษาไวรัสตับอักเสบบีในปัจจุบัน ยังไม่สามารถกำจัดไวรัสออกจากร่างกายได้ทั้งหมด ในกรณีส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้ที่ติดเชื้อเรื้อรัง อย่างไรก็ตาม การรักษาสามารถควบคุมโรคให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยได้ในระยะยาว
การหายจาก HBV แบ่งออกเป็น 2 แบบ
- หายขาดทางคลินิก (Clinical Cure)
- ตรวจไม่พบไวรัสในเลือด (HBV DNA Undetectable)
- ค่าตับ (ALT, AST) ปกติ
- ไม่มีการอักเสบของตับ
- ยังคงมีสารพันธุกรรมของไวรัสหลงเหลือในเซลล์ตับ
- หายขาดทางชีวภาพ (Functional Cure)
- นอกจากไม่พบไวรัสแล้ว ยังตรวจไม่พบ HBsAg
- ระบบภูมิคุ้มกันควบคุมเชื้อได้โดยไม่ต้องใช้ยา
- โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนต่ำมาก
- ถือเป็นเป้าหมายสูงสุดของการรักษา HBV
ปัจจุบันยังไม่มี “Sterilizing Cure”
- คือการกำจัดไวรัสออกจากร่างกายแบบ 100% ซึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์ยังไปไม่ถึงจุดนั้น
- อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยและวัคซีนรุ่นใหม่ที่กำลังพัฒนาเพื่อเป้าหมายนี้ในอนาคต
หยุดยาต้านไวรัสได้เมื่อไร? ต้องกินตลอดชีวิตไหม?
การใช้ยาต้านไวรัสสำหรับผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง มักเป็นการรักษาระยะยาว และหลายรายจำเป็นต้องใช้ “ต่อเนื่องตลอดชีวิต” โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินเงื่อนไขในการหยุดยาได้หรือไม่
เกณฑ์ที่อาจพิจารณาหยุดยา
- ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันดี และตรวจไม่พบปริมาณไวรัสในเลือดติดต่อกันนานกว่า 2 ปี
- ผู้ป่วยที่ HBeAg เป็นลบ และตรวจไม่พบ HBsAg (ถือว่าใกล้เคียง Functional Cure)
- ไม่มีภาวะตับแข็ง หรือโรคแทรกซ้อนอื่นร่วมด้วย
- ติดตามผลอย่างใกล้ชิดได้ หลังหยุดยา (เพราะมีโอกาสเกิด “ไวรัสกำเริบ” ได้)
กรณีที่ “ไม่ควรหยุดยา”
- ผู้ที่มีภาวะตับแข็ง
- ผู้ที่ไวรัสยังตรวจพบในเลือด
- หญิงตั้งครรภ์หรือวางแผนมีบุตรในช่วงใกล้ ๆ
- ไม่สามารถตรวจติดตามต่อเนื่องกับแพทย์ได้
การหยุดยา ต้องอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์
- ห้ามหยุดยาด้วยตนเอง
- ต้องมีการตรวจเลือดก่อน–หลังหยุดยาอย่างใกล้ชิดทุก 1–3 เดือน
- หากมีสัญญาณของไวรัสกำเริบ อาจต้องกลับมาใช้ยาอีกครั้ง
HBV ต้องตรวจตับบ่อยแค่ไหน? มีความเสี่ยงมะเร็งตับไหม?
แม้ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีจะไม่มีอาการ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะพัฒนาเป็น ตับแข็ง หรือ มะเร็งตับ ได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยเรื้อรัง การติดตามตรวจตับอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็น
ความเสี่ยงต่อมะเร็งตับ
- ไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญของมะเร็งตับ
- ผู้ที่มี ไวรัสในร่างกายแม้ไม่มีอาการ ก็ยังมีความเสี่ยง
- ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหากมีภาวะตับแข็ง หรือมีพันธุกรรมไวต่อโรคตับ
แนวทางตรวจติดตามตับ
- อัลตราซาวนด์ช่องท้อง (Abdominal Ultrasound)
- เพื่อตรวจหาก้อนหรือความผิดปกติของตับ
- ควรตรวจทุก 6 เดือนในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
- ตรวจ Alpha-fetoprotein (AFP)
- ค่าบ่งชี้เบื้องต้นของมะเร็งตับ
- มักตรวจร่วมกับอัลตราซาวนด์ทุก 6 เดือน
- FibroScan หรือ Liver Stiffness Measurement
- ตรวจความแข็งของตับเพื่อประเมินภาวะพังผืดหรือตับแข็ง
- CT Scan หรือ MRI (ในกรณีเฉพาะ)
- ถ้าผลอัลตราซาวนด์ผิดปกติหรือสงสัยก้อนในตับ
ถ้าตรวจเจอ HBV ควรดูแลตัวเองอย่างไร?
เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไวรัสตับอักเสบบี (HBV) การดูแลตนเองอย่างเหมาะสมมีส่วนสำคัญในการควบคุมโรค ลดความเสี่ยงของการเกิดตับแข็งและมะเร็งตับ รวมถึงช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อการรักษาได้ดีขึ้น
แนวทางการดูแลตัวเอง
- ติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ
- ไปพบแพทย์ตามนัด ตรวจเลือด ตรวจตับตามแผน
- ไม่ควรหยุดยาเองโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
- งดการดื่มแอลกอฮอล์
- เพราะแอลกอฮอล์จะเร่งการอักเสบและทำลายตับ
- เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดตับแข็งและมะเร็งตับ
- หลีกเลี่ยงยาที่ทำลายตับ
- เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบบางชนิด
- ห้ามซื้อยากินเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์
- ทานอาหารให้เหมาะสม
- หลีกเลี่ยงอาหารปนเปื้อนสารอะฟลาทอกซิน เช่น ถั่ว พริกป่นที่เก็บไว้นาน
- เน้นอาหารสุก สะอาด ย่อยง่าย และมีสารอาหารครบถ้วน
- ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
- สม่ำเสมอ เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันและสุขภาพตับ
- แจ้งคู่สมรส/ครอบครัวเพื่อตรวจคัดกรอง
- HBV สามารถติดต่อทางเลือดและเพศสัมพันธ์ได้
- ควรให้คู่ชีวิตและคนในบ้านได้รับการตรวจและฉีดวัคซีน
HBV สามารถมีลูกได้ไหม? จะติดลูกหรือเปล่า?
ผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถมีบุตรได้ตามปกติ แต่ต้องวางแผนล่วงหน้าและปรึกษาแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูกซึ่งเป็นช่องทางการติดเชื้อที่พบได้บ่อยในประเทศไทย
การวางแผนตั้งครรภ์ในผู้ติดเชื้อ HBV
- ควร เจาะเลือดตรวจระดับไวรัส (HBV DNA)
- ถ้าระดับไวรัสสูง แพทย์อาจให้ยาต้านไวรัสชนิดปลอดภัยต่อทารกในไตรมาสที่ 2 หรือ 3
- ควรปรึกษาแพทย์ล่วงหน้าอย่างน้อย 3–6 เดือนก่อนวางแผนมีบุตร
ป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก
- ทารกแรกเกิดควรได้รับวัคซีน HBV ภายใน 12 ชั่วโมงหลังคลอด
- พร้อมฉีด HBIG (Hepatitis B Immune Globulin) เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันทันที
- วัคซีนเข็มถัดไปที่เดือนที่ 1 และ 6 จะช่วยให้เด็กมีภูมิคุ้มกัน
การตรวจติดตามทารกหลังคลอด
- เมื่อลูกอายุ 9–12 เดือน ควรเจาะเลือดตรวจภูมิคุ้มกัน (Anti-HBs) และดูว่าติดเชื้อหรือไม่ (HBsAg)
- หากภูมิคุ้มกันไม่เพียงพอ อาจต้องฉีดวัคซีนกระตุ้น
HBV ต้องฉีดวัคซีนไหม? เคยเป็นแล้วต้องฉีดหรือเปล่า?
วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้ผลดีที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือยังไม่มีภูมิคุ้มกัน
ใครควรฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี?
- เด็กแรกเกิด (ฉีดตามแผนวัคซีนพื้นฐาน)
- ผู้ใหญ่ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนหรือไม่มีภูมิคุ้มกัน
- ผู้มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น มีคู่นอนหลายคน, ใช้เข็มฉีดยาร่วม
- บุคลากรทางการแพทย์
- ผู้ที่อยู่ร่วมบ้านกับผู้ติดเชื้อ HBV
ฉีดวัคซีนแล้วอยู่ได้นานแค่ไหน?
- วัคซีน HBV 3 เข็ม (0, 1, 6 เดือน) จะสร้างภูมิคุ้มกันได้ยาวนาน
- ไม่จำเป็นต้องตรวจภูมิหรือต้องฉีดกระตุ้นซ้ำ เว้นแต่เป็นกลุ่มเสี่ยงเฉพาะ
เคยติด HBV แล้วต้องฉีดไหม?
- ไม่ต้องฉีด เพราะร่างกายจะมีภูมิต้านทานจากการติดเชื้ออยู่แล้ว
- ควรติดตามการทำงานของตับและระดับไวรัสมากกว่า
ตรวจภูมิก่อนฉีดได้ไหม?
- ได้ โดยตรวจ Anti-HBs และ HBsAg ก่อน
- ถ้ามี Anti-HBs >10 mIU/mL แปลว่ามีภูมิคุ้มกันแล้ว ไม่ต้องฉีดซ้ำ
HBV มีเพศสัมพันธ์ได้ไหม? ต้องใช้ถุงยางหรือไม่?
ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ แต่ต้องใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง หากคู่ของคุณยังไม่เคยฉีดวัคซีนหรือไม่มีภูมิคุ้มกัน เนื่องจากไวรัสตับอักเสบบีสามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
การป้องกันการแพร่เชื้อให้คู่นอน
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- คู่ของคุณควรไปตรวจ Anti-HBs และ HBsAg เพื่อประเมินภูมิคุ้มกัน
- หากไม่มีภูมิ ควรรีบเข้ารับวัคซีนทันที
ถ้ามีเพศสัมพันธ์โดยไม่รู้ว่าติดเชื้อ?
- ถ้าคู่ของคุณยังไม่มีภูมิและเพิ่งสัมผัสเชื้อภายใน 7 วัน
→ ควรฉีด วัคซีน + HBIG (ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป) เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
สรุป
- HBV ไม่ได้เป็นข้อห้ามในการมีเพศสัมพันธ์
- แต่ต้องป้องกันทุกครั้ง เพื่อปกป้องคู่ของคุณจากการติดเชื้อ
HBV ใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นได้ไหม? ต้องแยกของใช้หรือไม่?
ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถอยู่ร่วมกับครอบครัวหรือผู้อื่นได้ตามปกติ โดยไม่ต้องแยกห้องหรือกักตัว เพราะโรคนี้ไม่ได้ติดต่อผ่านการสัมผัสทั่วไป เช่น การกินข้าวด้วยกัน หรือการใช้ห้องน้ำร่วมกัน
การติดต่อที่ “ไม่” เป็นความเสี่ยง
- ไม่ติดจากการไอ จาม หรือหายใจร่วมกัน
- ไม่ติดจากการใช้ห้องน้ำร่วมกัน
- ไม่ติดจากการทานอาหารร่วมกัน หรือใช้ช้อนกลาง
- ไม่ติดจากการกอด จับมือ หรือการใช้ชีวิตประจำวัน
การป้องกันการแพร่เชื้อในบ้าน
- ห้ามใช้ของมีคมร่วมกัน เช่น มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ แปรงสีฟัน
- หากมีบาดแผล ควรปิดแผลให้มิดชิด
- แนะนำให้สมาชิกในบ้านตรวจภูมิและฉีดวัคซีน
HBV ตรวจสุขภาพประจำปีเจอไหม? ต้องตรวจอะไรเพิ่ม?
ไวรัสตับอักเสบบีสามารถพบได้จากการตรวจสุขภาพประจำปี ถ้ามีการตรวจค่าที่เกี่ยวข้องกับไวรัสโดยตรง อย่างเช่น HBsAg หรือ Anti-HBs ซึ่งบางโปรแกรมจะไม่ได้รวมไว้ในชุดพื้นฐาน
การตรวจสุขภาพที่อาจพบเชื้อ HBV
- HBsAg: หากพบผลบวก แสดงว่ามีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในร่างกาย
- Anti-HBs: หากมีค่ามากกว่า 10 mIU/mL แปลว่ามีภูมิคุ้มกัน
- Anti-HBc: ช่วยแยกว่าผู้ป่วยเคยติดเชื้อมาก่อนหรือไม่
การตรวจเพิ่มเติมเมื่อพบเชื้อ
- ตรวจการทำงานของตับ (AST, ALT)
- ตรวจระดับ HBV DNA (ปริมาณไวรัสในเลือด)
- ตรวจภาพตับด้วยอัลตราซาวด์ หรือตรวจค่าความแข็งของตับ (FibroScan)
สรุป
- ควรระบุให้ชัดกับคลินิกหรือโรงพยาบาลว่าต้องการตรวจไวรัสตับอักเสบบี
- ไม่ใช่ทุกชุดตรวจสุขภาพจะครอบคลุม ต้องเช็กให้ละเอียด
HBV มีอาการแทรกซ้อนอะไรบ้าง?
ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โดยเฉพาะในรายที่เป็นเรื้อรัง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับตับได้ ซึ่งบางอย่างอาจใช้เวลานานกว่าจะปรากฏอาการ
ภาวะแทรกซ้อนของไวรัสตับอักเสบบี
- ตับอักเสบเรื้อรัง (Chronic hepatitis B)
- เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถกำจัดเชื้อได้
- ทำให้เกิดการอักเสบของตับแบบเรื้อรังต่อเนื่อง
- ตับแข็ง (Cirrhosis)
- ตับเริ่มมีพังผืด และการทำงานเสื่อมลง
- เสี่ยงต่อการเกิดภาวะตับวาย เลือดออกในทางเดินอาหาร
- มะเร็งตับ (Hepatocellular carcinoma)
- เกิดได้แม้ไม่เคยมีภาวะตับแข็งมาก่อน
- พบมากในผู้ที่มีปริมาณไวรัสสูงหรือไม่รับการรักษา
- ภาวะแทรกซ้อนนอกตับ (Extrahepatic manifestations)
- เช่น ไตอักเสบ หลอดเลือดอักเสบ ภาวะเลือดแข็งตัวผิดปกติ ฯลฯ
HBV เรื้อรัง คืออะไร? ต่างจากแบบเฉียบพลันยังไง?
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก ได้แก่ การติดเชื้อแบบเฉียบพลัน (Acute) และ การติดเชื้อแบบเรื้อรัง (Chronic) ซึ่งมีลักษณะและผลกระทบที่แตกต่างกัน
การติดเชื้อ HBV เฉียบพลัน (Acute HBV)
- เกิดขึ้นภายใน 6 เดือนหลังได้รับเชื้อ
- ร่างกายส่วนใหญ่สามารถกำจัดเชื้อได้เองโดยไม่ต้องรักษา
- ผู้ป่วยอาจมีอาการชัดเจน เช่น ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือไม่มีอาการเลย
การติดเชื้อ HBV เรื้อรัง (Chronic HBV)
- หมายถึง การที่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกาย นานเกิน 6 เดือน
- มักพบในผู้ที่ติดเชื้อตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะจากแม่สู่ลูก
- เสี่ยงต่อการเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับ
สรุปความแตกต่าง
ลักษณะ
|
HBV เฉียบพลัน
|
HBV เรื้อรัง
|
---|
ระยะเวลา
|
ไม่เกิน 6 เดือน
|
เกิน 6 เดือน
|
อาการ
|
มีหรือไม่มีอาการ
|
ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการจนกว่าจะมีภาวะแทรกซ้อน
|
ผลระยะยาว
|
ส่วนใหญ่หายขาด
|
เสี่ยงตับแข็ง/มะเร็งตับ
|
HBV กับการตั้งครรภ์: ส่งผลต่อทารกหรือไม่?
หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถถ่ายทอดเชื้อไปยังทารกในครรภ์ได้ โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการวินิจฉัยและป้องกันอย่างเหมาะสม แต่ปัจจุบันสามารถป้องกันได้เกือบ 100% หากปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์
HBV จากแม่สู่ลูกเกิดขึ้นได้อย่างไร?
- การติดเชื้อมักเกิดขึ้นในช่วง “ขณะคลอด”
- หากแม่มีปริมาณไวรัสสูง ความเสี่ยงในการถ่ายทอดเชื้อยิ่งเพิ่มขึ้น
ทารกควรได้รับอะไรทันทีหลังคลอด?
- ฉีดวัคซีน HBV เข็มแรก ภายใน 12 ชั่วโมง
- ฉีด HBIG (ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป) เพื่อเพิ่มการป้องกัน
- วัคซีนอีก 2 เข็มที่เหลือให้ในเดือนที่ 1 และ 6
หญิงตั้งครรภ์ควรทำอย่างไร?
- ตรวจหาเชื้อ HBV ตั้งแต่ฝากครรภ์ครั้งแรก
- หากพบว่า HBsAg เป็นบวก → แพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านไวรัสในไตรมาสที่ 3
- หลังคลอด สามารถให้นมลูกได้ตามปกติ หากทารกได้รับวัคซีนและ HBIG แล้ว
HBV กับวัคซีน: ต้องฉีดไหม? ฉีดแล้วอยู่ได้นานแค่ไหน?
วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อ และควรได้รับการฉีดทั้งในเด็กแรกเกิด ผู้ใหญ่ที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน รวมถึงกลุ่มเสี่ยง
ใครบ้างควรได้รับวัคซีน?
- ทารกแรกเกิดทุกคน
- ผู้ใหญ่ที่ไม่เคยได้รับวัคซีน หรือไม่มีภูมิคุ้มกัน
- ผู้ที่อยู่ร่วมบ้านกับผู้ติดเชื้อ
- บุคลากรทางการแพทย์
- ผู้ที่มีคู่นอนติดเชื้อ HBV
- ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ใช้เข็มร่วมกัน มีคู่นอนหลายคน
วัคซีนต้องฉีดกี่เข็ม?
- ฉีดทั้งหมด 3 เข็ม ที่ช่วงเวลา: 0, 1, และ 6 เดือน
ภูมิคุ้มกันอยู่ได้นานแค่ไหน?
- หากภูมิขึ้นหลังฉีด (Anti-HBs ≥ 10 mIU/mL)
→ จะมีภูมิคุ้มกันอย่างน้อย 30 ปี
- ไม่จำเป็นต้องฉีดซ้ำ เว้นแต่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงและภูมิไม่ขึ้น
HBV กับมะเร็งตับ
ไวรัสตับอักเสบบีเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สุดของมะเร็งตับ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ติดเชื้อเรื้อรังโดยไม่รู้ตัวหรือไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
HBV เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งตับอย่างไร?
- เชื้อไวรัสทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและการสร้างพังผืดในตับ
- การอักเสบเรื้อรังนำไปสู่ “ตับแข็ง” ซึ่งเป็นภาวะก่อนเกิดมะเร็ง
- HBV อาจแทรกตัวเข้าไปใน DNA ของเซลล์ตับ → เกิดการกลายพันธุ์
ใครบ้างเสี่ยงเป็นมะเร็งตับจาก HBV?
- ผู้ที่ติดเชื้อ HBV เรื้อรัง โดยเฉพาะแบบไม่มีอาการ
- ผู้ที่ไม่ได้ติดตามการรักษาหรือไม่ได้รับยาต้านไวรัส
- ผู้ที่มีพฤติกรรมเสริมความเสี่ยง เช่น ดื่มสุรา สูบบุหรี่
- มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งตับ
ป้องกันมะเร็งตับในผู้ป่วย HBV ได้อย่างไร?
- รับการรักษาและติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
- หลีกเลี่ยงสารพิษต่อตับ เช่น แอลกอฮอล์ หรือยาที่ไม่ได้อยู่ภายใต้คำแนะนำแพทย์
- ตรวจคัดกรองมะเร็งตับเป็นประจำทุก 6–12 เดือน
HBV รักษาหายไหม? ต้องกินยาตลอดชีวิตหรือเปล่า?
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี “ไม่ใช่ทุกรายจะต้องกินยาตลอดชีวิต” และ “ไม่ใช่ทุกรายจะหายขาด” ทั้งหมดขึ้นอยู่กับรูปแบบการติดเชื้อ ภาวะของตับ และการตอบสนองต่อการรักษา
การติดเชื้อแบบเฉียบพลัน
- ส่วนใหญ่ (~90–95%) หายได้เองในผู้ใหญ่
- ไม่ต้องใช้ยา ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เอง
- หลังหายแล้ว จะมีภูมิ (Anti-HBs) ขึ้น
การติดเชื้อแบบเรื้อรัง
- บางรายมีไวรัสไม่แบ่งตัว → ไม่ต้องรักษา แค่ติดตามอาการ
- บางรายไวรัสยังแบ่งตัว + มีพังผืด → ต้องรักษาด้วยยาต้านไวรัส
- ต้องประเมินซ้ำทุก 3–6 เดือน
กินยาตลอดชีวิตไหม?
- บางรายอาจต้องใช้ยาต่อเนื่อง “หลายปี” หรือ “ตลอดชีวิต”
- แต่บางรายสามารถหยุดยาได้ ถ้าแพทย์ประเมินว่าเข้าสู่ “ภาวะควบคุมไวรัสได้ดี” แล้ว
- การหยุดยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
บทสรุป
ไวรัสตับอักเสบบีเป็นโรคที่สามารถควบคุมได้หากตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ และได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง แม้จะยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ทุกกรณี แต่ก็มีแนวทางป้องกันและการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงในปัจจุบัน
การฉีดวัคซีนป้องกันตั้งแต่แรกเกิด การตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ และการปรับพฤติกรรมลดความเสี่ยง เป็นสิ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญเพื่อหยุดยั้งการแพร่เชื้อและลดอัตราการเกิดโรคตับในระยะยาว