Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

ไวรัสตับอักเสบบี คืออะไร ต่างจากไวรัสอื่นอย่างไร รักษาหายไหม มีอาการอย่างไร 2025

ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Virus: HBV) เป็นเชื้อไวรัสที่ส่งผลกระทบต่อ “ตับ” โดยตรง และอาจนำไปสู่ภาวะเรื้อรังที่รุนแรง เช่น ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง

ประเทศไทยจัดเป็นหนึ่งในประเทศที่มีผู้ติดเชื้อ HBV เรื้อรังในระดับสูงโดยเฉพาะจากแม่สู่ลูก และผู้ที่ได้รับเชื้อตั้งแต่วัยเด็ก โดยที่หลายคนไม่รู้ตัวว่าเป็นพาหะหรือมีเชื้ออยู่ในร่างกาย

เนื้อหาในบทความนี้รวบรวมข้อมูลสำคัญที่ครอบคลุมตั้งแต่ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ HBV สาเหตุ อาการ การวินิจฉัย การรักษา การป้องกัน รวมถึงผลกระทบในระยะยาว เพื่อให้คุณเข้าใจและสามารถดูแลสุขภาพของตนเองและคนรอบข้างได้อย่างถูกต้อง

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

ไวรัสตับอักเสบบีคืออะไร?

ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Virus หรือ HBV) คือไวรัสชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดการอักเสบของเซลล์ตับ สามารถติดต่อได้ผ่านเลือด (เข็มตำ การสักลายที่ใช้เข็มซ้ำ) เพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน และติดต่อจากมารดาที่ตั้งครรภ์สู่ทารก เป็นหนึ่งในโรคติดต่อที่พบได้บ่อยทั่วโลก โดยเฉพาะในทวีปเอเชีย รวมถึงประเทศไทย

ผู้ติดเชื้อส่วนมากมักจะไม่มีอาการใด ๆ ในช่วงแรก แต่เชื้อไวรัสจะทำให้ตับอักเสบอย่างต่อเนื่อง หากไม่ได้รับการวินิจเฝ้าระวังและรักษาอย่างทันท่วงที เซลล์ตับจะโดนทำลายจนเกิดภาวะตับแข็ง และทำ

ลักษณะของไวรัส

  • จัดอยู่ในตระกูล Hepadnaviridae
  • มีพันธุกรรมแบบ DNA สายคู่ (partially double-stranded DNA)
  • ไวรัสสามารถอยู่ในเลือดได้นานแม้ภายนอกร่างกาย (บนพื้นผิวแห้งนานถึง 7 วัน)

ความสำคัญของโรคไวรัสตับอักเสบบี

  • องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้เป็น ปัญหาสาธารณสุขระดับโลก
  • ประมาณการณ์ว่าทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อ HBV เรื้อรังกว่า 254 ล้านคน (ข้อมูลปี 2022)
  • ในประเทศไทย พบว่ามีผู้ติดเชื้อเรื้อรังประมาณ 3-5 ล้านคน และมีแนวโน้มเกิดมะเร็งตับมากที่สุดในกลุ่มโรคไวรัสตับอักเสบ

สาเหตุที่ควรให้ความสนใจ

  • ผู้ติดเชื้อเกือบทั้งหมด ไม่มีอาการ ในระยะแรก
  • โรคสามารถ ติดต่อได้แม้ไม่มีอาการ
  • กลายเป็นมะเร็งตับ ได้หากไม่รักษา

HBV ต่างจาก A–E อย่างไร?

ไวรัสตับอักเสบมีหลายชนิด ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบ A, ไวรัสตับอักเสบ B, ไวรัสตับอักเสบ C, ไวรัสตับอักเสบ D และ ไวรัสตับอักเสบ E ซึ่งแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันในเรื่องของการติดต่อ ความรุนแรง และการรักษา โดย HBV หรือไวรัสตับอักเสบบี ถือเป็นชนิดที่พบได้บ่อยและมีแนวโน้มกลายเป็นโรคเรื้อรังหรือมะเร็งตับได้มากกว่าชนิดอื่น ๆ

สรุปความแตกต่างไวรัสตับอักเสบแต่ละชนิด

ชนิดไวรัส

การติดต่อ

โอกาสเป็นเรื้อรัง

ความรุนแรง

มีวัคซีนหรือไม่

A

ผ่านอุจจาระที่มีเชื้อ หรือทางเลือด

ไม่มี

ต่ำ

✅ มี

B

ทางเลือด เพศสัมพันธ์ แม่สู่ลูก

✅ มี (โดยเฉพาะติดตั้งแต่เด็ก)

สูง

✅ มี

C

เลือด เพศสัมพันธ์ (น้อยกว่า B)

✅ มี

สูง

❌ ไม่มี

D

ต้องมี HBV ร่วมด้วย (co-infection)

✅ มี

สูง

❌ ไม่มี

E

อาหาร น้ำปนเปื้อน (คล้าย A)

ไม่มี

ปานกลาง โดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์

❌ ไม่มี

จุดเด่นของ HBV ที่แตกต่าง

  • เคสเรื้อรัง 90% ติดเชื้อตั้งแต่แรกคลอด
  • เสี่ยงตับแข็งและมะเร็งตับสูง
  • มีวัคซีนที่ ป้องกันได้เกือบ 100%

HBV Genotype (A–J) คืออะไร?

ไวรัสตับอักเสบบี (HBV) ถูกจำแนกออกเป็นกลุ่มพันธุกรรมย่อยที่เรียกว่า “จีโนไทป์” (Genotype) ตั้งแต่ A ถึง J ซึ่งแต่ละเจโนไทป์จะมีความแตกต่างกันด้านภูมิศาสตร์ ความรุนแรงของโรค การตอบสนองต่อการรักษา และแนวโน้มการเกิดมะเร็งตับ

จีโนไทป์ที่พบได้บ่อยในไทย

  • ประเทศไทยพบมากที่สุดคือ Genotype B และ C
  • Genotype C มักมีความรุนแรงกว่า และมีโอกาสเกิดภาวะตับแข็งและมะเร็งตับสูงกว่า B
  • การตอบสนองต่อ ยาต้านไวรัส ในคนไทยที่มี Genotype C จะช้ากว่า Genotype B

ความสำคัญของการรู้ Genotype

  • ช่วยประเมินความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรัง ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ
  • ใช้กำหนดแนวทางการรักษา เช่น การเลือกใช้ยาต้านไวรัส หรือ interferon
  • อาจมีผลต่อการพยากรณ์โรคในระยะยาว

ประเทศอื่น ๆ พบเจโนไทป์ใดบ้าง?

ทวีป/ภูมิภาค

Genotype HBV ที่พบได้บ่อย

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

B, C

แอฟริกา

A, E

อเมริกาเหนือ

A, D, F

ยุโรปตะวันตก

A, D

อเมริกาใต้

F, H

ช่องทางการติดต่อของ HBV มีอะไรบ้าง?

ไวรัสตับอักเสบบีสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ผ่านหลายช่องทาง ซึ่งบางรูปแบบอาจไม่แสดงอาการในทันที ทำให้ผู้ติดเชื้อไม่รู้ตัว และแพร่เชื้อต่อโดยไม่ตั้งใจ

ช่องทางการติดต่อหลักของ HBV

  • ทางเลือด เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การสัก/เจาะร่างกายด้วยอุปกรณ์ที่ปนเปื้อนเชื้อ หรือการได้รับเลือด/อวัยวะที่มีเชื้อ
  • เพศสัมพันธ์ โดยไม่สวมถุงยางอนามัย
  • จากแม่สู่ลูก ขณะคลอด หรือในระหว่างตั้งครรภ์ในบางกรณี
  • การใช้ของส่วนตัวร่วมกัน เช่น ที่โกนหนวด กรรไกรตัดเล็บที่มีเลือด
  • การสัมผัสกับสารคัดหลั่ง โดยเฉพาะหากมีบาดแผลหรือเยื่อเมือกสัมผัสเชื้อ

ติดต่อผ่านการจูบ/น้ำลายได้ไหม?

  • การจูบไม่ทำให้ติดเชื้อ HBV 

การติดเชื้อ HBV มีกี่ระยะ?

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถแบ่งออกเป็นหลายระยะ ตั้งแต่การติดเชื้อเฉียบพลันไปจนถึงการติดเชื้อเรื้อรัง และภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น ตับแข็งหรือมะเร็งตับ

ระยะของการติดเชื้อ HBV

  1. ระยะฟักตัว
    • ช่วงเวลาตั้งแต่รับเชื้อจนเริ่มแสดงอาการ
    • โดยทั่วไปอยู่ที่ 60-150 วัน (เฉลี่ยประมาณ 90 วัน)
  2. ระยะเฉียบพลัน
    • เด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี หรือผู้ที่ภูมิต้านทานต่ำมักจะไม่แสดงอาการ
    • ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่สามารถกำจัดไวรัสได้เอง
  3. ระยะเรื้อรัง
    • หากติดเชื้อตั้งแต่แรกคลอด โอกาสเป็นระยะเรื้อรัง 90%
    • หากติดเชื้อในช่วงอายุ 1-5 ปี โอกาสเป็นระยะเรื้อรัง 30%
    • หากติดเชื้อตอนโต โอกาสเป็นระยะเรื้อรัง 5%
  4. ระยะตับแข็ง/มะเร็งตับ
    • เกิดจากการอักเสบเรื้อรังที่ทำลายตับเป็นเวลานาน
    • ตับแข็งอาจไม่มีอาการในระยะแรก แต่จะนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ท้องมาน น้ำในช่องท้อง หรือมะเร็งตับ

HBV Carrier คืออะไร?

HBV Carrier หมายถึงผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีอยู่ในร่างกายโดยไม่แสดงอาการ และค่าการทำงานของตับยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ยังสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้

ลักษณะของ HBV Carrier

  • ตรวจพบ HBsAg (Hepatitis B surface antigen) ในเลือดต่อเนื่องนานกว่า 6 เดือน
  • ไม่มีอาการ
  • ค่าการทำงานของตับ (ALT, AST) ปกติ
  • ปริมาณไวรัสในเลือดต่ำหรืออาจไม่มี

HBV Carrier มีกี่แบบ?

  1. Inactive Carrier
    • มีไวรัสอยู่ในเลือดปริมาณต่ำมากหรือไม่ตรวจพบเลย
    • ไม่ทำลายตับ แต่ยังสามารถแพร่เชื้อได้
    • ต้องตรวจติดตามเป็นระยะ 
  2. Active Carrier (HBeAg-negative chronic hepatitis B)
    • แม้ไม่มีอาการ แต่ไวรัสยังแบ่งตัว
    • มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ตับแข็ง
    • อาจต้องได้รับยารักษา

HBV Carrier ต้องรักษาไหม?

  • ถ้าเป็น Inactive Carrier โดยไม่มีการอักเสบของตับหรือไวรัสแบ่งตัวมาก ยังไม่จำเป็นต้องรักษา แต่ต้องติดตามผลเลือดทุก 6-12 เดือน
  • หากพบว่าค่าการทำงานของตับเริ่มผิดปกติ หรือปริมาณไวรัสเพิ่มขึ้น แพทย์อาจพิจารณาให้ยาต้านไวรัส

อาการของไวรัสตับอักเสบบีมีอะไรบ้าง?

ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีอาจไม่มีอาการเลยในระยะแรก โดยเฉพาะในเด็กเล็ก หรืออาจมีอาการคล้ายไข้หวัด ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ จึงตรวจพบในระยะที่ตับเริ่มถูกทำลายไปแล้ว

อาการระยะเฉียบพลัน

  • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดตามข้อ
  • ตัวเหลือง ตาเหลือง
  • ปัสสาวะสีโคล่า
  • อุจจาระซีด
  • ไข้

หมายเหตุ: อาการจะเกิดขึ้นภายใน 1–4 เดือนหลังได้รับเชื้อ และมักหายได้เองในผู้ใหญ่ที่มีภูมิคุ้มกันดี

อาการระยะเรื้อรัง

  • ไม่มีอาการ หรือมีเพียงอ่อนเพลียเรื้อรัง
  • บางรายเริ่มมีค่าการทำงานของตับผิดปกติ
  • หากไม่ได้รับการรักษา อาจกลายเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับ

การตรวจไวรัสตับอักเสบบีมีกี่แบบ?

การวินิจฉัยว่าเป็นไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ ต้องอาศัยการตรวจเลือด เพื่อประเมินทั้งการติดเชื้อ ระยะของโรค การทำงานของตับ และปริมาณไวรัสในร่างกาย ซึ่งจำเป็นต่อการวางแผนรักษาและติดตามอาการในระยะยาว

การตรวจที่ใช้วินิจฉัย HBV

  1. HBsAg (Hepatitis B surface antigen)
    • ใช้ตรวจว่ามีเชื้อ HBV อยู่ในร่างกายหรือไม่
    • หากพบเป็นบวก > 6 เดือน = การติดเชื้อเรื้อรัง
  2. Anti-HBs (Hepatitis B surface antibody)
    • บ่งบอกว่ามีภูมิคุ้มกันต่อ HBV
    • เกิดจากการฉีดวัคซีนหรือหายจากการติดเชื้อมาก่อน
  3. HBeAg (Hepatitis B e antigen)
    • บ่งบอกว่าไวรัสกำลังแบ่งตัวอยู่
    • ยิ่งค่า HBeAg สูง ยิ่งมีโอกาสแพร่เชื้อมาก
  4. Anti-HBe (Hepatitis B e antibody)
    • บ่งชี้ว่าร่างกายเริ่มควบคุมเชื้อได้
    • ใช้ประเมินการเปลี่ยนแปลงของโรค
  5. HBV DNA
    • ตรวจปริมาณไวรัสในเลือดโดยตรง
    • ใช้ประเมินความรุนแรงและติดตามผลการรักษา
  6. Liver Function Test (AST, ALT)
    • ตรวจค่าการทำงานของตับ
    • บ่งชี้ว่าตับอักเสบอยู่หรือไม่

ค่าการทำงานของตับ (AST, ALT) สำคัญอย่างไร?

ค่าการทำงานของตับเป็นตัวบ่งชี้ว่าตับกำลังอักเสบหรือถูกทำลายอยู่หรือไม่ โดยเฉพาะในผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี การตรวจค่านี้ช่วยให้แพทย์ประเมินความรุนแรงของโรค และวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม

AST (Aspartate Aminotransferase)

  • พบในหลายอวัยวะ เช่น ตับ หัวใจ กล้ามเนื้อ
  • หากมีค่า AST สูง อาจบ่งชี้ว่าตับหรืออวัยวะอื่น ๆ กำลังถูกทำลาย
  • ควรแปลผลร่วมกับค่า ALT

ALT (Alanine Aminotransferase)

  • เป็นเอนไซม์ที่พบเฉพาะในตับ
  • ค่า ALT สูง บ่งชี้ว่าตับกำลังอักเสบหรือตับเซลล์ถูกทำลาย
  • เป็นตัวบ่งชี้หลักในการติดตามภาวะตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัส HBV

ค่า AST/ALT ที่น่ากังวล

  • ค่า สูงเกินค่าปกติ (โดยเฉพาะ ALT) บ่งชี้ภาวะตับอักเสบ
  • ถ้าค่าสูง ต่อเนื่อง หรือมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น = เสี่ยงตับแข็ง/มะเร็งตับ
  • แพทย์อาจพิจารณาเริ่มยาต้านไวรัสหากค่า ALT สูงพร้อมกับไวรัสแบ่งตัวมาก

ความรุนแรงของไวรัสตับอักเสบบี: เสี่ยงตับแข็งหรือมะเร็งตับจริงไหม?

ไวรัสตับอักเสบบีเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงหลักที่นำไปสู่ภาวะตับแข็งและมะเร็งตับ โดยเฉพาะในผู้ที่ติดเชื้อเรื้อรังโดยไม่รู้ตัวหรือละเลยการรักษา

ความสัมพันธ์ระหว่าง HBV กับตับแข็ง

  • การอักเสบของตับแบบเรื้อรังจาก HBV ทำให้เกิดพังผืดในตับ
  • พังผืดสะสมจนตับแข็ง ทำให้การทำงานของตับแย่ลงเรื่อย ๆ
  • ตับแข็งนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น ท้องมาน น้ำในช่องท้อง หลอดเลือดขอดในหลอดอาหาร

ความสัมพันธ์ระหว่าง HBV กับมะเร็งตับ

  • ผู้ติดเชื้อ HBV เรื้อรัง มีความเสี่ยง มะเร็งตับชนิด Hepatocellular carcinoma (HCC) มากกว่าคนทั่วไป
  • โอกาสเสี่ยงจะมากขึ้นในคนที่ HBeAg เป็นบวก หรือมีปริมาณไวรัสสูงในเลือด
  • แม้ยังไม่เป็นตับแข็งก็สามารถเป็นมะเร็งตับได้หากมีการอักเสบเรื้อรัง

ปัจจัยเสริมที่เพิ่มความรุนแรง

  • การดื่มแอลกอฮอล์
  • การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีร่วมด้วย
  • การได้รับสารพิษจากเชื้อรา Aflatoxin
  • มีประวัติมะเร็งตับในครอบครัว

การติดตามอาการ HBV ต้องตรวจอะไรบ้าง? บ่อยแค่ไหน?

ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โดยเฉพาะผู้ป่วยเรื้อรังหรือผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรได้รับการติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินความรุนแรงของโรคและพิจารณาเริ่มหรือปรับแผนการรักษาให้เหมาะสม

การตรวจที่ควรติดตามเป็นระยะ

  • HBV DNA: ตรวจปริมาณไวรัสในเลือดเพื่อดูว่ามีการแบ่งตัวของไวรัสหรือไม่
  • ALT, AST: ค่าการทำงานของตับ ตรวจทุก 3-6 เดือน
  • HBeAg และ Anti-HBe: เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของไวรัส
  • Alpha-fetoprotein (AFP): ค่าบ่งชี้มะเร็งตับ
  • อัลตราซาวนด์ตับ (Liver Ultrasound): ตรวจหาก้อนหรือภาวะแทรกซ้อน เช่น ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ

ความถี่ในการติดตาม

  • ผู้ป่วยเรื้อรังที่ไม่ได้รับยา: ทุก 3–6 เดือน
  • ผู้ป่วยที่รับยาต้านไวรัส: ตรวจติดตามผลทุก 3 เดือนในช่วงแรก จากนั้นทุก 6 เดือน
  • ผู้ที่มีตับแข็ง/เสี่ยงมะเร็งตับ: ควรตรวจ AFP และอัลตราซาวนด์ทุก 6 เดือน

วิธีรักษาไวรัสตับอักเสบบีมีอะไรบ้าง?

การรักษาไวรัสตับอักเสบบีมีเป้าหมายเพื่อยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส ลดการอักเสบของตับ ป้องกันการเกิดตับแข็ง และลดความเสี่ยงของมะเร็งตับ แม้ในปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ทุกราย แต่สามารถควบคุมโรคได้ในระยะยาว

แนวทางการรักษาหลัก

  1. การเฝ้าระวัง (Monitoring Only)
    • สำหรับผู้ที่เป็น Inactive Carrier หรือไม่มีภาวะตับอักเสบ
    • แพทย์จะนัดตรวจติดตามเป็นระยะทุก 6 เดือน
  2. การใช้ยาต้านไวรัส (Antiviral Therapy)
    • สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะตับอักเสบเรื้อรังจาก HBV
    • ยาที่ใช้ ได้แก่:
      • Tenofovir disoproxil fumarate (TDF)
      • Tenofovir alafenamide (TAF)
      • Entecavir (ETV)
    • ยาเหล่านี้ช่วยยับยั้งไวรัสได้ดีและมีผลข้างเคียงน้อย
  3. การใช้ Interferon (Pegylated Interferon alpha)
    • เป็นยาฉีดที่กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้จัดการไวรัส
    • มีข้อจำกัดเรื่องผลข้างเคียง จึงใช้ในกรณีเฉพาะ

ระยะเวลาการรักษา

  • ยาต้านไวรัสส่วนใหญ่ต้องกินต่อเนื่องเป็นระยะยาว
  • แพทย์จะประเมินการหยุดยาหลังไวรัสถูกควบคุมและมีภูมิคุ้มกันเพียงพอ

ยาต้านไวรัสตับอักเสบบี มีกี่ชนิด? ต่างกันอย่างไร?

ยาต้านไวรัสเป็นแนวทางหลักในการรักษาไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ช่วยลดปริมาณไวรัสในเลือด ลดการอักเสบของตับ และลดความเสี่ยงในการเกิดตับแข็งหรือมะเร็งตับในระยะยาว โดยยาที่ใช้สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก:

1. ยากลุ่ม Nucleos(t)ide Analogues (รับประทาน)

  • Tenofovir disoproxil fumarate (TDF)
  • Tenofovir alafenamide (TAF)
  • Entecavir (ETV)

ข้อดี:

  • กดการแบ่งตัวของไวรัสได้ดี
  • ปลอดภัย ใช้ได้ในผู้ป่วยส่วนใหญ่ รวมถึงผู้ที่มีตับแข็ง
  • ผลข้างเคียงน้อย

ข้อควรระวัง:

  • ต้องกินต่อเนื่องทุกวัน
  • ไม่ควรหยุดยาด้วยตนเอง เพราะอาจเกิดไวรัสดื้อยา

2. ยากลุ่ม Interferon (แบบฉีด)

  • Pegylated Interferon alpha

ข้อดี:

  • กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ทำลายไวรัสเอง
  • มีโอกาส “หยุดยา” ได้หากมีการตอบสนองดี

ข้อควรระวัง:

  • โอกาสพบผลข้างเคียงสูง เช่น มีไข้ หนาวสั่น ภาวะซึมเศร้า
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่มีตับแข็ง หญิงตั้งครรภ์ 

HBV รักษาหายขาดไหม?

การรักษาไวรัสตับอักเสบบีในปัจจุบัน ยังไม่สามารถกำจัดไวรัสออกจากร่างกายได้ทั้งหมด ในกรณีส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้ที่ติดเชื้อเรื้อรัง อย่างไรก็ตาม การรักษาสามารถควบคุมโรคให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยได้ในระยะยาว

การหายจาก HBV แบ่งออกเป็น 2 แบบ

  1. หายขาดทางคลินิก (Clinical Cure)
    • ตรวจไม่พบไวรัสในเลือด (HBV DNA Undetectable)
    • ค่าตับ (ALT, AST) ปกติ
    • ไม่มีการอักเสบของตับ
    • ยังคงมีสารพันธุกรรมของไวรัสหลงเหลือในเซลล์ตับ
  2. หายขาดทางชีวภาพ (Functional Cure)
    • นอกจากไม่พบไวรัสแล้ว ยังตรวจไม่พบ HBsAg
    • ระบบภูมิคุ้มกันควบคุมเชื้อได้โดยไม่ต้องใช้ยา
    • โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนต่ำมาก
    • ถือเป็นเป้าหมายสูงสุดของการรักษา HBV

ปัจจุบันยังไม่มี “Sterilizing Cure”

  • คือการกำจัดไวรัสออกจากร่างกายแบบ 100% ซึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์ยังไปไม่ถึงจุดนั้น
  • อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยและวัคซีนรุ่นใหม่ที่กำลังพัฒนาเพื่อเป้าหมายนี้ในอนาคต

หยุดยาต้านไวรัสได้เมื่อไร? ต้องกินตลอดชีวิตไหม?

การใช้ยาต้านไวรัสสำหรับผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง มักเป็นการรักษาระยะยาว และหลายรายจำเป็นต้องใช้ “ต่อเนื่องตลอดชีวิต” โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินเงื่อนไขในการหยุดยาได้หรือไม่

เกณฑ์ที่อาจพิจารณาหยุดยา

  1. ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันดี และตรวจไม่พบปริมาณไวรัสในเลือดติดต่อกันนานกว่า 2 ปี
  2. ผู้ป่วยที่ HBeAg เป็นลบ และตรวจไม่พบ HBsAg (ถือว่าใกล้เคียง Functional Cure)
  3. ไม่มีภาวะตับแข็ง หรือโรคแทรกซ้อนอื่นร่วมด้วย
  4. ติดตามผลอย่างใกล้ชิดได้ หลังหยุดยา (เพราะมีโอกาสเกิด “ไวรัสกำเริบ” ได้)

กรณีที่ “ไม่ควรหยุดยา”

  • ผู้ที่มีภาวะตับแข็ง
  • ผู้ที่ไวรัสยังตรวจพบในเลือด
  • หญิงตั้งครรภ์หรือวางแผนมีบุตรในช่วงใกล้ ๆ
  • ไม่สามารถตรวจติดตามต่อเนื่องกับแพทย์ได้

การหยุดยา ต้องอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์

  • ห้ามหยุดยาด้วยตนเอง
  • ต้องมีการตรวจเลือดก่อน–หลังหยุดยาอย่างใกล้ชิดทุก 1–3 เดือน
  • หากมีสัญญาณของไวรัสกำเริบ อาจต้องกลับมาใช้ยาอีกครั้ง

HBV ต้องตรวจตับบ่อยแค่ไหน? มีความเสี่ยงมะเร็งตับไหม?

แม้ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีจะไม่มีอาการ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะพัฒนาเป็น ตับแข็ง หรือ มะเร็งตับ ได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยเรื้อรัง การติดตามตรวจตับอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็น

ความเสี่ยงต่อมะเร็งตับ

  • ไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญของมะเร็งตับ
  • ผู้ที่มี ไวรัสในร่างกายแม้ไม่มีอาการ ก็ยังมีความเสี่ยง
  • ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหากมีภาวะตับแข็ง หรือมีพันธุกรรมไวต่อโรคตับ

แนวทางตรวจติดตามตับ

  1. อัลตราซาวนด์ช่องท้อง (Abdominal Ultrasound)
    • เพื่อตรวจหาก้อนหรือความผิดปกติของตับ
    • ควรตรวจทุก 6 เดือนในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
  2. ตรวจ Alpha-fetoprotein (AFP)
    • ค่าบ่งชี้เบื้องต้นของมะเร็งตับ
    • มักตรวจร่วมกับอัลตราซาวนด์ทุก 6 เดือน
  3. FibroScan หรือ Liver Stiffness Measurement
    • ตรวจความแข็งของตับเพื่อประเมินภาวะพังผืดหรือตับแข็ง
  4. CT Scan หรือ MRI (ในกรณีเฉพาะ)
    • ถ้าผลอัลตราซาวนด์ผิดปกติหรือสงสัยก้อนในตับ

ถ้าตรวจเจอ HBV ควรดูแลตัวเองอย่างไร?

เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไวรัสตับอักเสบบี (HBV) การดูแลตนเองอย่างเหมาะสมมีส่วนสำคัญในการควบคุมโรค ลดความเสี่ยงของการเกิดตับแข็งและมะเร็งตับ รวมถึงช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อการรักษาได้ดีขึ้น

แนวทางการดูแลตัวเอง

  1. ติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ
    • ไปพบแพทย์ตามนัด ตรวจเลือด ตรวจตับตามแผน
    • ไม่ควรหยุดยาเองโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
  2. งดการดื่มแอลกอฮอล์
    • เพราะแอลกอฮอล์จะเร่งการอักเสบและทำลายตับ
    • เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดตับแข็งและมะเร็งตับ
  3. หลีกเลี่ยงยาที่ทำลายตับ
    • เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบบางชนิด
    • ห้ามซื้อยากินเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์
  4. ทานอาหารให้เหมาะสม
    • หลีกเลี่ยงอาหารปนเปื้อนสารอะฟลาทอกซิน เช่น ถั่ว พริกป่นที่เก็บไว้นาน
    • เน้นอาหารสุก สะอาด ย่อยง่าย และมีสารอาหารครบถ้วน
  5. ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
    • สม่ำเสมอ เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันและสุขภาพตับ
  6. แจ้งคู่สมรส/ครอบครัวเพื่อตรวจคัดกรอง
    • HBV สามารถติดต่อทางเลือดและเพศสัมพันธ์ได้
    • ควรให้คู่ชีวิตและคนในบ้านได้รับการตรวจและฉีดวัคซีน

HBV สามารถมีลูกได้ไหม? จะติดลูกหรือเปล่า?

ผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถมีบุตรได้ตามปกติ แต่ต้องวางแผนล่วงหน้าและปรึกษาแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูกซึ่งเป็นช่องทางการติดเชื้อที่พบได้บ่อยในประเทศไทย

การวางแผนตั้งครรภ์ในผู้ติดเชื้อ HBV

  • ควร เจาะเลือดตรวจระดับไวรัส (HBV DNA)
  • ถ้าระดับไวรัสสูง แพทย์อาจให้ยาต้านไวรัสชนิดปลอดภัยต่อทารกในไตรมาสที่ 2 หรือ 3
  • ควรปรึกษาแพทย์ล่วงหน้าอย่างน้อย 3–6 เดือนก่อนวางแผนมีบุตร

ป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก

  • ทารกแรกเกิดควรได้รับวัคซีน HBV ภายใน 12 ชั่วโมงหลังคลอด
  • พร้อมฉีด HBIG (Hepatitis B Immune Globulin) เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันทันที
  • วัคซีนเข็มถัดไปที่เดือนที่ 1 และ 6 จะช่วยให้เด็กมีภูมิคุ้มกัน

การตรวจติดตามทารกหลังคลอด

  • เมื่อลูกอายุ 9–12 เดือน ควรเจาะเลือดตรวจภูมิคุ้มกัน (Anti-HBs) และดูว่าติดเชื้อหรือไม่ (HBsAg)
  • หากภูมิคุ้มกันไม่เพียงพอ อาจต้องฉีดวัคซีนกระตุ้น

HBV ต้องฉีดวัคซีนไหม? เคยเป็นแล้วต้องฉีดหรือเปล่า?

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้ผลดีที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือยังไม่มีภูมิคุ้มกัน

ใครควรฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี?

  • เด็กแรกเกิด (ฉีดตามแผนวัคซีนพื้นฐาน)
  • ผู้ใหญ่ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนหรือไม่มีภูมิคุ้มกัน
  • ผู้มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น มีคู่นอนหลายคน, ใช้เข็มฉีดยาร่วม
  • บุคลากรทางการแพทย์
  • ผู้ที่อยู่ร่วมบ้านกับผู้ติดเชื้อ HBV

ฉีดวัคซีนแล้วอยู่ได้นานแค่ไหน?

  • วัคซีน HBV 3 เข็ม (0, 1, 6 เดือน) จะสร้างภูมิคุ้มกันได้ยาวนาน
  • ไม่จำเป็นต้องตรวจภูมิหรือต้องฉีดกระตุ้นซ้ำ เว้นแต่เป็นกลุ่มเสี่ยงเฉพาะ

เคยติด HBV แล้วต้องฉีดไหม?

  • ไม่ต้องฉีด เพราะร่างกายจะมีภูมิต้านทานจากการติดเชื้ออยู่แล้ว
  • ควรติดตามการทำงานของตับและระดับไวรัสมากกว่า

ตรวจภูมิก่อนฉีดได้ไหม?

  • ได้ โดยตรวจ Anti-HBs และ HBsAg ก่อน
  • ถ้ามี Anti-HBs >10 mIU/mL แปลว่ามีภูมิคุ้มกันแล้ว ไม่ต้องฉีดซ้ำ

HBV มีเพศสัมพันธ์ได้ไหม? ต้องใช้ถุงยางหรือไม่?

ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ แต่ต้องใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง หากคู่ของคุณยังไม่เคยฉีดวัคซีนหรือไม่มีภูมิคุ้มกัน เนื่องจากไวรัสตับอักเสบบีสามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้

การป้องกันการแพร่เชื้อให้คู่นอน

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • คู่ของคุณควรไปตรวจ Anti-HBs และ HBsAg เพื่อประเมินภูมิคุ้มกัน
  • หากไม่มีภูมิ ควรรีบเข้ารับวัคซีนทันที

ถ้ามีเพศสัมพันธ์โดยไม่รู้ว่าติดเชื้อ?

  • ถ้าคู่ของคุณยังไม่มีภูมิและเพิ่งสัมผัสเชื้อภายใน 7 วัน
    → ควรฉีด วัคซีน + HBIG (ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป) เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

สรุป

  • HBV ไม่ได้เป็นข้อห้ามในการมีเพศสัมพันธ์
  • แต่ต้องป้องกันทุกครั้ง เพื่อปกป้องคู่ของคุณจากการติดเชื้อ

HBV ใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นได้ไหม? ต้องแยกของใช้หรือไม่?

ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถอยู่ร่วมกับครอบครัวหรือผู้อื่นได้ตามปกติ โดยไม่ต้องแยกห้องหรือกักตัว เพราะโรคนี้ไม่ได้ติดต่อผ่านการสัมผัสทั่วไป เช่น การกินข้าวด้วยกัน หรือการใช้ห้องน้ำร่วมกัน

การติดต่อที่ “ไม่” เป็นความเสี่ยง

  • ไม่ติดจากการไอ จาม หรือหายใจร่วมกัน
  • ไม่ติดจากการใช้ห้องน้ำร่วมกัน
  • ไม่ติดจากการทานอาหารร่วมกัน หรือใช้ช้อนกลาง
  • ไม่ติดจากการกอด จับมือ หรือการใช้ชีวิตประจำวัน

การป้องกันการแพร่เชื้อในบ้าน

  • ห้ามใช้ของมีคมร่วมกัน เช่น มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ แปรงสีฟัน
  • หากมีบาดแผล ควรปิดแผลให้มิดชิด
  • แนะนำให้สมาชิกในบ้านตรวจภูมิและฉีดวัคซีน

HBV ตรวจสุขภาพประจำปีเจอไหม? ต้องตรวจอะไรเพิ่ม?

ไวรัสตับอักเสบบีสามารถพบได้จากการตรวจสุขภาพประจำปี ถ้ามีการตรวจค่าที่เกี่ยวข้องกับไวรัสโดยตรง อย่างเช่น HBsAg หรือ Anti-HBs ซึ่งบางโปรแกรมจะไม่ได้รวมไว้ในชุดพื้นฐาน

การตรวจสุขภาพที่อาจพบเชื้อ HBV

  • HBsAg: หากพบผลบวก แสดงว่ามีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในร่างกาย
  • Anti-HBs: หากมีค่ามากกว่า 10 mIU/mL แปลว่ามีภูมิคุ้มกัน
  • Anti-HBc: ช่วยแยกว่าผู้ป่วยเคยติดเชื้อมาก่อนหรือไม่

การตรวจเพิ่มเติมเมื่อพบเชื้อ

  • ตรวจการทำงานของตับ (AST, ALT)
  • ตรวจระดับ HBV DNA (ปริมาณไวรัสในเลือด)
  • ตรวจภาพตับด้วยอัลตราซาวด์ หรือตรวจค่าความแข็งของตับ (FibroScan)

สรุป

  • ควรระบุให้ชัดกับคลินิกหรือโรงพยาบาลว่าต้องการตรวจไวรัสตับอักเสบบี
  • ไม่ใช่ทุกชุดตรวจสุขภาพจะครอบคลุม ต้องเช็กให้ละเอียด

HBV มีอาการแทรกซ้อนอะไรบ้าง?

ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โดยเฉพาะในรายที่เป็นเรื้อรัง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับตับได้ ซึ่งบางอย่างอาจใช้เวลานานกว่าจะปรากฏอาการ

ภาวะแทรกซ้อนของไวรัสตับอักเสบบี

  1. ตับอักเสบเรื้อรัง (Chronic hepatitis B)
    • เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถกำจัดเชื้อได้
    • ทำให้เกิดการอักเสบของตับแบบเรื้อรังต่อเนื่อง
  2. ตับแข็ง (Cirrhosis)
    • ตับเริ่มมีพังผืด และการทำงานเสื่อมลง
    • เสี่ยงต่อการเกิดภาวะตับวาย เลือดออกในทางเดินอาหาร
  3. มะเร็งตับ (Hepatocellular carcinoma)
    • เกิดได้แม้ไม่เคยมีภาวะตับแข็งมาก่อน
    • พบมากในผู้ที่มีปริมาณไวรัสสูงหรือไม่รับการรักษา
  4. ภาวะแทรกซ้อนนอกตับ (Extrahepatic manifestations)
    • เช่น ไตอักเสบ หลอดเลือดอักเสบ ภาวะเลือดแข็งตัวผิดปกติ ฯลฯ

HBV เรื้อรัง คืออะไร? ต่างจากแบบเฉียบพลันยังไง?

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก ได้แก่ การติดเชื้อแบบเฉียบพลัน (Acute) และ การติดเชื้อแบบเรื้อรัง (Chronic) ซึ่งมีลักษณะและผลกระทบที่แตกต่างกัน

การติดเชื้อ HBV เฉียบพลัน (Acute HBV)

  • เกิดขึ้นภายใน 6 เดือนหลังได้รับเชื้อ
  • ร่างกายส่วนใหญ่สามารถกำจัดเชื้อได้เองโดยไม่ต้องรักษา
  • ผู้ป่วยอาจมีอาการชัดเจน เช่น ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือไม่มีอาการเลย

การติดเชื้อ HBV เรื้อรัง (Chronic HBV)

  • หมายถึง การที่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกาย นานเกิน 6 เดือน
  • มักพบในผู้ที่ติดเชื้อตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะจากแม่สู่ลูก
  • เสี่ยงต่อการเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับ

สรุปความแตกต่าง

ลักษณะ

HBV เฉียบพลัน

HBV เรื้อรัง

ระยะเวลา

ไม่เกิน 6 เดือน

เกิน 6 เดือน

อาการ

มีหรือไม่มีอาการ

ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการจนกว่าจะมีภาวะแทรกซ้อน

ผลระยะยาว

ส่วนใหญ่หายขาด

เสี่ยงตับแข็ง/มะเร็งตับ

HBV กับการตั้งครรภ์: ส่งผลต่อทารกหรือไม่?

หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถถ่ายทอดเชื้อไปยังทารกในครรภ์ได้ โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการวินิจฉัยและป้องกันอย่างเหมาะสม แต่ปัจจุบันสามารถป้องกันได้เกือบ 100% หากปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์

HBV จากแม่สู่ลูกเกิดขึ้นได้อย่างไร?

  • การติดเชื้อมักเกิดขึ้นในช่วง “ขณะคลอด”
  • หากแม่มีปริมาณไวรัสสูง ความเสี่ยงในการถ่ายทอดเชื้อยิ่งเพิ่มขึ้น

ทารกควรได้รับอะไรทันทีหลังคลอด?

  • ฉีดวัคซีน HBV เข็มแรก ภายใน 12 ชั่วโมง
  • ฉีด HBIG (ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป) เพื่อเพิ่มการป้องกัน
  • วัคซีนอีก 2 เข็มที่เหลือให้ในเดือนที่ 1 และ 6

หญิงตั้งครรภ์ควรทำอย่างไร?

  • ตรวจหาเชื้อ HBV ตั้งแต่ฝากครรภ์ครั้งแรก
  • หากพบว่า HBsAg เป็นบวก → แพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านไวรัสในไตรมาสที่ 3
  • หลังคลอด สามารถให้นมลูกได้ตามปกติ หากทารกได้รับวัคซีนและ HBIG แล้ว

HBV กับวัคซีน: ต้องฉีดไหม? ฉีดแล้วอยู่ได้นานแค่ไหน?

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อ และควรได้รับการฉีดทั้งในเด็กแรกเกิด ผู้ใหญ่ที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน รวมถึงกลุ่มเสี่ยง

ใครบ้างควรได้รับวัคซีน?

  • ทารกแรกเกิดทุกคน
  • ผู้ใหญ่ที่ไม่เคยได้รับวัคซีน หรือไม่มีภูมิคุ้มกัน
  • ผู้ที่อยู่ร่วมบ้านกับผู้ติดเชื้อ
  • บุคลากรทางการแพทย์
  • ผู้ที่มีคู่นอนติดเชื้อ HBV
  • ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ใช้เข็มร่วมกัน มีคู่นอนหลายคน

วัคซีนต้องฉีดกี่เข็ม?

  • ฉีดทั้งหมด 3 เข็ม ที่ช่วงเวลา: 0, 1, และ 6 เดือน

ภูมิคุ้มกันอยู่ได้นานแค่ไหน?

  • หากภูมิขึ้นหลังฉีด (Anti-HBs ≥ 10 mIU/mL)
    → จะมีภูมิคุ้มกันอย่างน้อย 30 ปี
  • ไม่จำเป็นต้องฉีดซ้ำ เว้นแต่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงและภูมิไม่ขึ้น

HBV กับมะเร็งตับ

ไวรัสตับอักเสบบีเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สุดของมะเร็งตับ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ติดเชื้อเรื้อรังโดยไม่รู้ตัวหรือไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง

HBV เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งตับอย่างไร?

  • เชื้อไวรัสทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและการสร้างพังผืดในตับ
  • การอักเสบเรื้อรังนำไปสู่ “ตับแข็ง” ซึ่งเป็นภาวะก่อนเกิดมะเร็ง
  • HBV อาจแทรกตัวเข้าไปใน DNA ของเซลล์ตับ → เกิดการกลายพันธุ์

ใครบ้างเสี่ยงเป็นมะเร็งตับจาก HBV?

  • ผู้ที่ติดเชื้อ HBV เรื้อรัง โดยเฉพาะแบบไม่มีอาการ
  • ผู้ที่ไม่ได้ติดตามการรักษาหรือไม่ได้รับยาต้านไวรัส
  • ผู้ที่มีพฤติกรรมเสริมความเสี่ยง เช่น ดื่มสุรา สูบบุหรี่
  • มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งตับ

ป้องกันมะเร็งตับในผู้ป่วย HBV ได้อย่างไร?

  • รับการรักษาและติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
  • หลีกเลี่ยงสารพิษต่อตับ เช่น แอลกอฮอล์ หรือยาที่ไม่ได้อยู่ภายใต้คำแนะนำแพทย์
  • ตรวจคัดกรองมะเร็งตับเป็นประจำทุก 6–12 เดือน

HBV รักษาหายไหม? ต้องกินยาตลอดชีวิตหรือเปล่า?

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี “ไม่ใช่ทุกรายจะต้องกินยาตลอดชีวิต” และ “ไม่ใช่ทุกรายจะหายขาด” ทั้งหมดขึ้นอยู่กับรูปแบบการติดเชื้อ ภาวะของตับ และการตอบสนองต่อการรักษา

การติดเชื้อแบบเฉียบพลัน

  • ส่วนใหญ่ (~90–95%) หายได้เองในผู้ใหญ่
  • ไม่ต้องใช้ยา ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เอง
  • หลังหายแล้ว จะมีภูมิ (Anti-HBs) ขึ้น

การติดเชื้อแบบเรื้อรัง

  • บางรายมีไวรัสไม่แบ่งตัว → ไม่ต้องรักษา แค่ติดตามอาการ
  • บางรายไวรัสยังแบ่งตัว + มีพังผืด → ต้องรักษาด้วยยาต้านไวรัส
  • ต้องประเมินซ้ำทุก 3–6 เดือน

กินยาตลอดชีวิตไหม?

  • บางรายอาจต้องใช้ยาต่อเนื่อง “หลายปี” หรือ “ตลอดชีวิต”
  • แต่บางรายสามารถหยุดยาได้ ถ้าแพทย์ประเมินว่าเข้าสู่ “ภาวะควบคุมไวรัสได้ดี” แล้ว
  • การหยุดยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น

บทสรุป

ไวรัสตับอักเสบบีเป็นโรคที่สามารถควบคุมได้หากตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ และได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง แม้จะยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ทุกกรณี แต่ก็มีแนวทางป้องกันและการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงในปัจจุบัน

การฉีดวัคซีนป้องกันตั้งแต่แรกเกิด การตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ และการปรับพฤติกรรมลดความเสี่ยง เป็นสิ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญเพื่อหยุดยั้งการแพร่เชื้อและลดอัตราการเกิดโรคตับในระยะยาว

icon email