
ตุ่มขึ้นทั่วตัว … เป็นแค่ภูมิแพ้ หรือสัญญาณของโรคร้ายที่คุณไม่รู้ตัว? หลายคนเคยมีผื่นหรือผื่นตุ่มขึ้นตามร่างกายแล้วมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ความจริงแล้ว “ผื่น” บางประเภทอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น HIV หรือซิฟิลิส ที่หากปล่อยไว้อาจกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว
บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจสาเหตุของผื่นที่พบบ่อย ลักษณะเฉพาะของผื่นจาก HIV และซิฟิลิส วิธีแยกแยะอาการเบื้องต้น ตลอดจนแนวทางการดูแลตนเอง การตรวจวินิจฉัย และการป้องกันอย่างถูกต้อง เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจเมื่อเจออาการที่ไม่แน่ใจ
ตุ่มขึ้นทั้งตัวเกิดจากอะไร?
ตุ่มขึ้นทั่วร่างกายเป็นอาการผิวหนังที่พบได้บ่อยในหลายภาวะ ซึ่งอาจเป็นเพียงการระคายเคืองธรรมดา ไปจนถึงสัญญาณของโรคติดต่อหรือภาวะที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน การเข้าใจสาเหตุเบื้องต้นของตุ่มสามารถช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างถูกต้องว่าจะดูแลเอง หรือต้องรีบพบแพทย์
ลักษณะของตุ่มที่พบบ่อย
- ตุ่มแดงนูน คัน หรือแสบ
- กระจายทั่วตัว หรือเฉพาะบางบริเวณ
- อาจมีไข้ร่วมด้วย หรือไม่ก็ได้
- บางรายตุ่มจะเปลี่ยนเป็นผื่น หรือมีน้ำใสๆ ภายใน
สาเหตุที่เป็นไปได้
- ปฏิกิริยาภูมิแพ้ – จากอาหาร ยา แมลงกัด หรือสารสัมผัสบางชนิด
- ผื่นจากไวรัส – เช่น หัด, งูสวัด หรือ COVID-19
- ภาวะระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ – เช่น SLE, ผื่นลมพิษเรื้อรัง
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ – HIV, ซิฟิลิส (จะลงลึกในหัวข้อถัดไป)
- การติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา – เช่น folliculitis (ตุ่มขนอักเสบ)
หากตุ่มขึ้นทั่วตัวโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด และมีอาการอื่นร่วม เช่น ไข้ อ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองโต หรือเพิ่งมีพฤติกรรมเสี่ยง → แนะนำให้พบแพทย์เพื่อประเมินโดยละเอียด ไม่ควรซื้อยากินหรือทาเองโดยไม่แน่ใจ
ลักษณะของผื่น HIV ระยะแรกเป็นอย่างไร?
หนึ่งในอาการที่อาจเกิดขึ้นในระยะเฉียบพลันของการติดเชื้อ HIV คือ “ผื่นผิวหนัง” ซึ่งเกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อไวรัสในช่วงแรก โดยลักษณะของผื่น HIV ระยะแรกมีลักษณะเฉพาะที่สามารถสังเกตได้
ลักษณะทั่วไปของผื่น HIV ระยะแรก
- มักปรากฏ ภายใน 2–6 สัปดาห์ หลังได้รับเชื้อ
- เป็นผื่นแดงราบหรือแดงนูน ขนาดเล็กกระจายทั่วไป
- มักขึ้นที่ หน้าอก หลัง แขน ใบหน้า หรือฝ่ามือฝ่าเท้า
- ไม่คันหรือคันเล็กน้อย (ต่างจากผื่นภูมิแพ้)
- ไม่มีตุ่มน้ำใส ไม่มีหนอง
จุดสังเกตที่แตกต่างจากผื่นทั่วไป
- มักเกิดร่วมกับ อาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น ไข้ต่ำ ปวดเมื่อย ต่อมน้ำเหลืองโต
- ผื่นไม่ตอบสนองต่อยาทาภูมิแพ้ทั่วไป
- หายได้เองภายในไม่กี่วันถึง 1 สัปดาห์
หากมีผื่นลักษณะนี้หลังมีพฤติกรรมเสี่ยง โดยเฉพาะร่วมกับไข้หรืออ่อนเพลีย → ควรเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อยืนยัน ไม่ควรรอดูอาการอย่างเดียว
ตุ่ม PPE คืออะไร? แตกต่างจากผื่นทั่วไปอย่างไร?
ตุ่ม PPE หรือชื่อเต็มว่า Pruritic Papular Eruption เป็นหนึ่งในอาการทางผิวหนังที่พบได้ในผู้ติดเชื้อ HIV โดยเฉพาะในรายที่ภูมิคุ้มกันเริ่มบกพร่องลง ถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ของภาวะเรื้อรังที่ควรเฝ้าระวัง
ลักษณะของตุ่ม PPE
- เป็น ตุ่มแดงนูนขนาดเล็ก หลายตุ่ม กระจายทั่วร่างกาย
- คันมาก มักพบที่ แขน ขา หน้าอก หลัง หรือใบหน้า
- ไม่มีหัว ไม่มีหนอง ไม่ลามเป็นผื่นน้ำ
- ผิวโดยรอบตุ่มมักดูแห้งและมีรอยเกา
ความสัมพันธ์กับ HIV
- มักเกิดในผู้ติดเชื้อ HIV ที่มี ค่า CD4 ต่ำกว่า 200
- ไม่ใช่อาการแรกเริ่มของการติดเชื้อ แต่พบในระยะที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
- ไม่ติดต่อผ่านตุ่มโดยตรง แต่เป็น “ดัชนีชี้วัด” ถึงสภาวะภูมิคุ้มกัน
หากมีตุ่มลักษณะนี้ต่อเนื่องนานเกิน 2 สัปดาห์ โดยไม่ตอบสนองต่อการทายาทั่วไป และเคยมีพฤติกรรมเสี่ยง → ควรตรวจสุขภาพโดยเฉพาะด้านภูมิคุ้มกัน
วิธีแยกอาการระหว่างภูมิแพ้กับสัญญาณ HIV
ผื่นหรือตุ่มแดงที่ขึ้นทั่วร่างกายอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ซึ่ง “ภูมิแพ้” และ “HIV ระยะแรก” เป็นสองภาวะที่มักทำให้ผู้ป่วยสับสน เนื่องจากมีลักษณะคล้ายกันในระยะแรก แต่หากสังเกตให้ดีจะพบความแตกต่างบางประการ
ตารางเปรียบเทียบ: ผื่นภูมิแพ้ vs ผื่น HIV ระยะแรก
|
คุณลักษณะ
|
ผื่นภูมิแพ้
|
ผื่นจาก HIV ระยะแรก
|
|---|
|
ลักษณะผื่น
|
ผื่นแดงนูน คันมาก มักมีรอยเกา
|
ผื่นแดงราบหรือนูนเล็กน้อย ไม่คันหรือคันน้อย
|
|
บริเวณที่พบบ่อย
|
ข้อพับ แขน ขา ลำตัว
|
หน้าอก หลัง แขน ฝ่ามือ ฝ่าเท้า
|
|
อาการร่วม
|
ไม่มีไข้ หรือมีอาการคัดจมูกร่วม
|
ไข้ต่ำ ปวดหัว ต่อมน้ำเหลืองโต
|
|
การตอบสนองต่อยา
|
ตอบสนองดีต่อยาทาแก้แพ้
|
ไม่ค่อยตอบสนองต่อยาทา
|
|
ระยะเวลา
|
หายเมื่อหลีกเลี่ยงสารกระตุ้น
|
หายได้เองใน 3–7 วัน
|
หากมีผื่นที่ไม่ตอบสนองต่อยาแก้แพ้ทั่วไป และมีอาการร่วมแบบคล้ายไข้หวัดหลังพฤติกรรมเสี่ยง → แนะนำให้พบแพทย์และพิจารณาตรวจเลือดเพื่อความชัดเจน
อาการอื่นที่มักพบร่วมกับผื่น HIV
ผื่นในระยะแรกของการติดเชื้อ HIV มักไม่มาเพียงลำพัง แต่จะมีอาการอื่นร่วมด้วย ซึ่งสะท้อนถึงการตอบสนองของร่างกายต่อไวรัส โดยอาการเหล่านี้มักเกิดในช่วง “ระยะเฉียบพลัน” หรือ Acute HIV Syndrome
อาการร่วมที่ควรสังเกต
- ไข้ต่ำ (37.5–38.5°C)
- ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ โดยไม่มีสาเหตุ
- ต่อมน้ำเหลืองโต โดยเฉพาะบริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบ
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
- ปวดหัว คลื่นไส้ หรือเบื่ออาหาร
- แผลในปาก หรือ เจ็บคอโดยไม่มีเสมหะ
เพราะอาการเหล่านี้มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเพียง “ไข้หวัดธรรมดา” แต่ความแตกต่างคือ
- เกิดหลังพฤติกรรมเสี่ยง 2–6 สัปดาห์
- ไม่ดีขึ้นชัดเจนแม้พักผ่อนหรือกินยา
- มักหายได้เองภายใน 1–2 สัปดาห์ แต่ “ไวรัสยังอยู่”
ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้พร้อมผื่น และเคยมีความเสี่ยง → ห้ามรอดูอาการเอง ควรตรวจเลือดเพื่อความชัดเจนและปลอดภัย
เมื่อใดควรพบแพทย์หากมีผื่นขึ้นทั่วตัว
แม้ผื่นหรือตุ่มแดงที่ขึ้นทั่วร่างกายหลายครั้งจะเกิดจากสาเหตุทั่วไป เช่น ภูมิแพ้ หรือการระคายเคืองผิว แต่บางกรณีก็อาจเป็นสัญญาณของโรคที่ต้องได้รับการดูแลโดยแพทย์โดยเร็ว
สัญญาณที่บ่งชี้ว่าควรพบแพทย์ทันที:
- ผื่นกระจายลามเร็วภายใน 1–2 วัน
- มี ไข้ หนาวสั่น หรืออ่อนเพลีย ร่วมด้วย
- ต่อมน้ำเหลืองโต หรือรู้สึกปวดเมื่อสัมผัส
- ผื่นไม่ตอบสนองต่อยาทา/ยากินแก้แพ้ทั่วไป
- เคยมี พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ หรือใช้เข็มร่วม
- มี แผลในปาก แผลที่อวัยวะเพศ หรือ น้ำเหลืองออกจากผื่น
ควรเตรียมข้อมูลอะไรไปพบแพทย์:
- ประวัติผื่น (เริ่มวันไหน, กระจายตรงไหนก่อน)
- เคยใช้ยา/ครีมอะไรไปแล้วบ้าง
- พฤติกรรมเสี่ยงล่าสุด (เพื่อประเมินความจำเป็นในการตรวจเพิ่มเติม)
หากผื่นเกิดร่วมกับอาการผิดปกติอื่น ๆ หรือมีปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับโรคติดต่อ → อย่ารอให้หายเอง เพราะโรคบางอย่างสามารถแพร่ต่อได้โดยไม่รู้ตัว และยิ่งรักษาเร็ว ผลลัพธ์ยิ่งดี
วิธีการตรวจวินิจฉัย HIV และ CD4
การตรวจวินิจฉัย HIV และประเมินค่าภูมิคุ้มกัน (CD4) เป็นขั้นตอนสำคัญเพื่อยืนยันการติดเชื้อ และวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการเช่นผื่นหรือตุ่มที่ไม่ทราบสาเหตุ
การตรวจ HIV มีกี่แบบ?
- ตรวจแอนติบอดี (Anti-HIV)
- ตรวจหาภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อไวรัส
- ตรวจได้หลังมีความเสี่ยงประมาณ 2–4 สัปดาห์
- เป็นการตรวจเบื้องต้นที่พบมากที่สุด
- ตรวจ Antigen/Antibody Combo (4th Gen)
- ตรวจได้เร็วขึ้น (หลังรับเชื้อ 14-21 วัน)
- มีความแม่นยำสูงกว่าการตรวจแอนติบอดีเพียงอย่างเดียว
- ใช้ได้ทั้งตรวจเลือดจากหลอดหรือปลายนิ้ว
- ตรวจ NAT (Nucleic Acid Test)
- ตรวจหาไวรัสโดยตรงจากเลือด
- ใช้ในกรณีเฉพาะหรือเพื่อยืนยันผลกรณีผลไม่ชัดเจน
การตรวจค่า CD4 คืออะไร?
- CD4 คือเซลล์ภูมิคุ้มกันสำคัญที่ถูกทำลายโดยเชื้อ HIV
- ค่า CD4 ต่ำ = ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ = เสี่ยงติดเชื้อฉวยโอกาส
- แพทย์ใช้ค่านี้วางแผนรักษาและเฝ้าระวังอาการทางผิวหนัง เช่น ตุ่ม PPE
ขั้นตอนทั่วไป
- พบแพทย์/พยาบาลซักประวัติ
- เจาะเลือดเพื่อตรวจ HIV (และ CD4 ถ้าจำเป็น)
- รอผล (บางแห่งทราบใน 20 นาที, บางแห่ง 3–5 วัน)
- รับคำปรึกษาและวางแผนดูแลต่อไป
การรักษาและดูแลผื่นจาก HIV
ผื่นที่เกิดจากเชื้อ HIV ไม่ได้มีลักษณะเฉพาะเพียงแบบเดียว แต่สามารถเกิดได้ทั้งในระยะเริ่มต้นและระยะที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยแนวทางการรักษาจะแตกต่างกันตามลักษณะของผื่นและระยะของโรค
หลักการดูแลผื่นจาก HIV
- ระยะเริ่มต้น (ผื่นราบหรือผื่นแดงเล็กๆ)
- มักหายได้เองใน 1–2 สัปดาห์
- แพทย์อาจให้ยาลดอาการคัน เช่น ยาแก้แพ้แบบรับประทาน
- หลีกเลี่ยงการเกา หรือใช้ครีมสเตียรอยด์โดยไม่ปรึกษาแพทย์
- ระยะภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ตุ่ม PPE)
- แพทย์อาจให้ยาทาเฉพาะจุดร่วมกับการเริ่มยาต้านไวรัส
- หากคันมาก อาจใช้ยาแก้แพ้หรือคอร์ติโคสเตียรอยด์อย่างระวัง
- การควบคุมไวรัสด้วย ART (ยาต้านไวรัส) ช่วยให้ผื่นดีขึ้นในระยะยาว
การดูแลผิวร่วม
- ใช้สบู่อ่อน ไม่มีน้ำหอม
- ทาโลชั่นเพิ่มความชุ่มชื้น
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด และสารระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์
ผื่นที่เกิดจาก HIV มักจะดีขึ้นเมื่อควบคุมไวรัสได้ดี หากมีผื่นเรื้อรัง คันรุนแรง หรือลุกลาม ควรพบแพทย์เพื่อปรับแผนการรักษา ไม่ควรซื้อยาทาเองโดยไม่ทราบต้นเหตุ
ผื่นจาก HIV หรือ ซิฟิลิส ติดต่อได้อย่างไร?
แม้ผื่นที่เกิดจาก HIV และซิฟิลิสจะดูคล้ายผื่นทั่วไป แต่ผื่นเหล่านี้สัมพันธ์กับ “การติดเชื้อที่ติดต่อได้” โดยเฉพาะในช่วงที่ร่างกายมีปริมาณเชื้อสูงหรือมีแผลเปิดร่วม
การติดต่อของ HIV
- HIV ไม่ได้แพร่ผ่านผื่นโดยตรง
- ผื่นมักเกิดในช่วง “ระยะเฉียบพลัน” ซึ่งเป็นช่วงที่ ไวรัสในเลือดสูงมาก → เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ
- ติดต่อจาก
- การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
- การใช้เข็มร่วมกัน
- การรับเลือดหรือสารคัดหลั่งที่มีเชื้อ
การติดต่อของซิฟิลิส
- ผื่นซิฟิลิส (ระยะที่ 2) มักมีเชื้ออยู่ในตุ่ม/รอยโรค
- สามารถแพร่เชื้อได้ผ่าน การสัมผัสโดยตรงกับรอยโรค โดยเฉพาะขณะมีเพศสัมพันธ์
- ไม่จำเป็นต้องมีการสอดใส่ → การสัมผัสผิวต่อผิวที่มีเชื้อก็สามารถแพร่ได้
หมายเหตุ
- HIV: ผื่นไม่ติดต่อ แต่เป็นตัวชี้วัดว่าร่างกายอยู่ในช่วงเสี่ยงแพร่เชื้อสูง
- ซิฟิลิส: ผื่นสามารถแพร่เชื้อได้โดยตรง → หากสัมผัสโดน
- การป้องกันที่ดีที่สุดคือ ใช้ถุงยางอนามัย และ หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผล/ผื่นของผู้อื่นโดยตรง
ตรวจ HIV และซิฟิลิสได้ที่ไหน?
หากคุณมีผื่นขึ้นทั่วตัว หรือสงสัยว่าตัวเองอาจติดเชื้อ HIV หรือซิฟิลิส การเข้ารับการตรวจคือทางเลือกที่ดีที่สุดในยุคที่สามารถเข้าถึงการตรวจได้ง่าย ปลอดภัย และหลายแห่งฟรี
ตรวจได้ที่ไหนบ้าง?
|
โรค
|
วิธีตรวจ
|
ระยะตรวจหลังมีความเสี่ยง
|
|---|
|
HIV
|
ตรวจเลือดแอนติบอดี / Antigen
|
2–4 สัปดาห์ขึ้นไป
|
|
ซิฟิลิส
|
ตรวจเลือดหาเชื้อ/แอนติบอดี (VDRL, TPHA)
|
3 สัปดาห์ขึ้นไป
|
ระยะฟักตัวของ HIV และซิฟิลิส หลังความเสี่ยง
ระยะฟักตัวคือช่วงเวลาตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งเชื้อเริ่มแสดงอาการหรือสามารถตรวจพบได้ ซึ่งเชื้อ HIV และซิฟิลิสมีช่วงเวลาฟักตัวแตกต่างกัน ทำให้บางคนเข้าใจผิดว่าตนเอง “ปลอดภัยแล้ว” ทั้งที่ยังอยู่ในช่วงเสี่ยง
ระยะฟักตัวของ HIV
- เฉลี่ย 2–4 สัปดาห์ หลังมีความเสี่ยง
- ในช่วงนี้อาจไม่มีอาการเลย หรืออาจเริ่มมี ไข้ต่ำ ต่อมน้ำเหลืองโต ผื่นขึ้น
- การตรวจบางชนิด (เช่น ตรวจ Antibody) อาจยังไม่พบเชื้อในช่วงสั้นๆ นี้
- วิธีตรวจที่แม่นยำขึ้น เช่น Antigen/Antibody หรือ NAT แนะนำใช้หลังความเสี่ยง ≥14 วัน
ระยะฟักตัวของซิฟิลิส
- ประมาณ 10–90 วัน (เฉลี่ย 21 วัน)
- อาการแรกคือ “แผลริมแข็ง” ไม่เจ็บ → หากไม่ได้สังเกตอาจไม่รู้ตัว
- หลังจากนั้นอีก 4–10 สัปดาห์ อาจเริ่มมี ผื่นแดงตามตัว ฝ่ามือ ฝ่าเท้า
- การตรวจเลือดสามารถเริ่มให้ผลแม่นยำหลัง 3 สัปดาห์ขึ้นไป
หมายเหตุ
- แม้ไม่มีอาการ → ไม่ได้แปลว่า “ปลอดภัย”
- การรอช่วงเวลาที่เหมาะสมก่อนตรวจ จะช่วยลดโอกาสเกิด “ผลลบลวง (false negative)”
- หากมีความเสี่ยงสูง → ควรตรวจซ้ำตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น ตรวจครั้งแรก และซ้ำอีกใน 1 เดือน
ป้องกัน HIV และซิฟิลิสได้อย่างไร?
การป้องกันคือแนวทางที่สำคัญที่สุดในการลดความเสี่ยงติดเชื้อ HIV และซิฟิลิส โดยเฉพาะเมื่อโรคเหล่านี้อาจไม่แสดงอาการชัดในระยะแรก การรู้วิธีป้องกันที่ถูกต้องจึงช่วยให้คุณและคนรอบตัวปลอดภัยมากขึ้น
วิธีป้องกันที่แนะนำ
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
- ทั้งทางช่องคลอด ทางปาก และทางทวารหนัก
- ต้องใส่ถุงยางตั้งแต่เริ่มสัมผัส ไม่ใช่แค่ก่อนหลั่ง
- ตรวจสุขภาพและโรคติดต่อเป็นประจำ
- แนะนำตรวจ HIV และซิฟิลิสทุก 3–6 เดือน สำหรับผู้มีพฤติกรรมเสี่ยง
- การตรวจเร็ว = เริ่มรักษาเร็ว ลดการแพร่เชื้อ
- หลีกเลี่ยงการใช้เข็มหรือของมีคมร่วมกับผู้อื่น
- โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้สารเสพติด
- รวมถึงการเจาะ/สักจากแหล่งที่ไม่สะอาด
- ใช้ยา PEP หรือ PrEP หากอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง
- ยา PEP = ยาหลังมีความเสี่ยง (ต้องกินภายใน 72 ชม.)
- ยา PrEP = ยาป้องกันก่อนมีความเสี่ยง สำหรับใช้ต่อเนื่อง
- ให้ความรู้แก่คู่ของคุณอย่างเปิดใจ
- สร้างพื้นที่พูดคุยเรื่องเพศสัมพันธ์และการตรวจสุขภาพร่วมกัน
ไม่มีวิธีใดที่ป้องกันได้ 100% แต่การใช้หลายวิธีร่วมกัน (เช่น ถุงยาง + ตรวจเลือด + ยา PrEP) จะลดความเสี่ยงได้อย่างมีนัยสำคัญ และช่วยสร้างสุขภาพทางเพศที่ปลอดภัยทั้งต่อตนเองและคนที่คุณรัก
แนะนำอ่านเพิ่มเติม: ยา PEP และ ยา PrEP ต่างกันอย่างไร และ ถุงยางแตกเสี่ยงติดโรคอะไรบ้าง ควรทำยังไง
บทสรุป
แม้ผื่นจะเป็นอาการที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน แต่หากคุณมีตุ่มหรือผื่นขึ้นทั่วตัว โดยเฉพาะร่วมกับอาการอื่น เช่น ไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต หรือพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ การละเลยอาจทำให้พลาดโอกาสในการวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่นๆ
การรู้จักสังเกตอาการ ตัดสินใจตรวจในเวลาที่เหมาะสม และป้องกันตัวอย่างถูกวิธี คือกุญแจสำคัญในการดูแลสุขภาพของคุณเองและคนรอบข้าง หากคุณไม่แน่ใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกาย—อย่ารอให้สายไป เริ่มต้นดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้
หากต้องการนัดหมายเข้ารับบริการหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติม
สามารถจองคิวผ่านเว็บไซต์ หรือ Inbox ทางช่องทาง Social Media ต่างๆ ได้ด้านล่างนี้